ต้องมองแบบนั้นจริงๆ สำหรับทั้งสองกรณีที่เป็น "คนละเรื่องเดียวกัน" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความพยายามจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติของ นปช. ที่ประกาศนัดเปิดศูนย์พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน และการแสดงอาการแข็งขืนของ "ธัมมชโย" เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ใช้บรรดาสาวกเป็นโล่ห์มนุษย์ ป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมถึงตัวได้ ความหมายก็ราวกับว่า ล่อให้เข้ามา"ติดกับ" ซึ่งทั้งสองกรณีแม้ว่าจะมีรายละเอียดที่ต่างกัน แต่หากพิจารณากันถึงที่มาที่ไปแล้ว ล้วนมีการ "ออกแบบ" มาจากเครือข่ายเดียวกัน มีต้นตอจากระดับหัวขบวนเดียวกัน เพียงแต่ว่านาทีนี้ ยังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการได้
พิจารณาจากกรณีแรกคือ การตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ ของพวกนปช. ที่กำหนดดีเดย์เปิดศูนย์ฯ พร้อมกันทั่วประเทศ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ได้รับการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจและทหาร จนต้องล่าถอยกลับไป
ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกแกนนำ เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือใครต่อใคร ต่างขึงขังว่า ยังไงก็ต้องเปิดศูนย์ฯให้ได้ แต่เอาเข้าจริง ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่การ "แสดงอย่างหนึ่ง" เท่านั้นเอง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ "กระแสไม่มา" หรือ "จุดไม่ติด" อะไรประมาณนี้หรือเปล่า ซึ่งกรณีนี้อาจประเมินได้จากหลายทาง อย่างแรกก็คือระดับหัวขบวนมองในมุมไหนก็ "ไม่น่าเชื่อถือ" ไม่มีเครดิต สังคมรู้ทันว่า "มีเบื้องหลัง" มีเจตนาแอบแฝงอย่างไร
ส่วนประการสุดท้ายที่สำคัญไม่น้อยก็คือ การ "ตัดบท" เบรกเกมตั้งแต่เริ่มสตาร์ทกันเลยทีเดียว นั่นคือ การส่งเสียงห้ามแบบเข้มๆ ออกมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเภทที่ว่า "ห้ามตั้ง ฝ่าฝืนจับ" ตามมาด้วยการสำทับ จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในแบบเดียวกันว่า "โดนแน่" และเมื่อถึงวันจริง ก็เป็นไปตามนั้น คือมีเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปขัดขวาง และควบคุมทุกพื้นที่
ขณะที่บรรดาแกนนำ ต่างก็ให้ความร่วมมือไม่มีใครขัดขืน เพียงแต่ว่าขอต่อรองได้ให้สัมภาษณ์ หรือได้แถลงข่าวบ้างพอเป็นพิธี โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หลังจากถูกขัดขวางแล้วพวกแกนนำก็บอกว่า ในวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน จะเดินทางร้องเรียนต่อสหประชาชาติ เพื่อให้รับรู้มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการแสดงออก ซึ่งก็มองออกได้ไม่ยากว่า นี่คือการสร้างพื้นที่ข่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผลสำเร็จของพวกเขาก็ต้องบอกว่า หากพิจารณาจากการลงทุนก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ขาดทุน แต่หากพิจารณาจากเป้าหมายที่หวังอาศัย "ลูกมั่ว" เพื่อสร้างกระแสต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วให้เกิดผลต่อเนื่องนั้น บอกได้ว่าไม่สำเร็จ จุดไม่ติด เพราะชาวบ้านรู้ทันเล่ห์ดังกล่าวแล้ว และพวกแกนนำไร้เครดิต พิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่เพิ่งออกมาชัดเจนว่า ชาวบ้านไม่สนับสนุน มองออกว่ามีเจตนาการเมืองแอบแฝง
ขณะที่อีกกรณีหนึ่ง นั่นคือ การขัดขืนการตรวจค้นและจับกุม ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่มีการระดมคนเข้ามาเป็นโล่ห์มนุษย์ขัดขวาง ทางหนึ่งหากมองในแง่ทั่วๆไป อาจมองได้ว่า นี่คือการขัดขวางไม่ให้มีการจับกุม ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการปลุกระดมให้เชื่อว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงต้องออกมาปกป้อง แต่อีกด้านหนึ่งหากพิจารณากันให้ละเอียดก็มองได้เหมือนกันว่า มีการวางแผนให้เกิดการปะทะ หากมีการบุกเข้าจับกุม ซึ่งนั่นเท่ากับว่าทำให้ "เรื่องบานปลาย" ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดจลาจลตามมา
กรณีหลัง ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ไม่แข็งกร้าวบุกเข้าไปตรวจค้น แม้จะมีหมายค้นก็ตาม การล่าถอยออกมาก่อน ขณะที่ฝ่ายธรรมกายเสียอีก ที่มีภาพลบ จากการมีพฤติกรรมขัดขวางเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงคำแถลงที่ว่า "ธัมมชโย จะมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น" ซึ่งกลายเป็นวาทะขบขัน ล้อเลียนกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง" ในเวลานี้ ภาพที่ออกมาเหมือนกับการเปลือยกายล่อนจ้อนออกมาเลยว่า ทุกเรื่องที่ผ่านมา ล้วนเป็นเล่ห์กลเพื่อหลบเลี่ยงคดีรับของโจรและฟอกเงินเท่านั้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ในปี 2549 ที่ดิ้นรนจนกระทั่งสามารถทำให้มีการถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ในชั้นศาลฎีกา มาแล้ว
ดังนั้น หากบอกว่าทั้งสองเรื่องดูไปดูมา มันก็เหมือน "คนละเรื่องเดียวกัน" มีแบ็กกราวด์จากที่เดียวกัน นั่นคือทั้งวัดพระธรรมกาย ธัมมชโย กับ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ล้วนเป็นพวกเดียวกัน สนับสนุนเกื้อกูลกันมาตั้งแต่ในอดีต ส่วนพวกนปช. และพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องอธิบายอะไร รู้กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการเคลื่อนไหวที่มีจังหวะใกล้เคียงกัน เหมือนกับการรับส่งลูก และหวังให้กระพือพร้อมกัน มันไม่ได้ผล เป็นเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่รู้ทัน และเบื่อกับอีกทางหนึ่ง มีการสกัดเสียก่อนไม่ให้ปลุกระดมบิดเบือน ทุกอย่างเลยแป้กอย่างที่เห็น
อย่างไรก็ดี สำหรับบรรดาแกนนำนปช. ในสถานการณ์แบบนี้ก็ถือว่ามีแต่กำไร เพราะได้เคลื่อนไหวจัดอีเวนต์ หากมีเสียงวิจารณ์ในเรื่อง "ท่อน้ำเลี้ยง" เป็นจริง เมื่อมีงานแบบนี้แหละมันถึงจะได้รับเป็นก้อนมาบ้าง หลังจากเงียบหายกันไปพักใหญ่แล้ว !!
พิจารณาจากกรณีแรกคือ การตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ ของพวกนปช. ที่กำหนดดีเดย์เปิดศูนย์ฯ พร้อมกันทั่วประเทศ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ได้รับการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจและทหาร จนต้องล่าถอยกลับไป
ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกแกนนำ เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือใครต่อใคร ต่างขึงขังว่า ยังไงก็ต้องเปิดศูนย์ฯให้ได้ แต่เอาเข้าจริง ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่การ "แสดงอย่างหนึ่ง" เท่านั้นเอง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ "กระแสไม่มา" หรือ "จุดไม่ติด" อะไรประมาณนี้หรือเปล่า ซึ่งกรณีนี้อาจประเมินได้จากหลายทาง อย่างแรกก็คือระดับหัวขบวนมองในมุมไหนก็ "ไม่น่าเชื่อถือ" ไม่มีเครดิต สังคมรู้ทันว่า "มีเบื้องหลัง" มีเจตนาแอบแฝงอย่างไร
ส่วนประการสุดท้ายที่สำคัญไม่น้อยก็คือ การ "ตัดบท" เบรกเกมตั้งแต่เริ่มสตาร์ทกันเลยทีเดียว นั่นคือ การส่งเสียงห้ามแบบเข้มๆ ออกมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเภทที่ว่า "ห้ามตั้ง ฝ่าฝืนจับ" ตามมาด้วยการสำทับ จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในแบบเดียวกันว่า "โดนแน่" และเมื่อถึงวันจริง ก็เป็นไปตามนั้น คือมีเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปขัดขวาง และควบคุมทุกพื้นที่
ขณะที่บรรดาแกนนำ ต่างก็ให้ความร่วมมือไม่มีใครขัดขืน เพียงแต่ว่าขอต่อรองได้ให้สัมภาษณ์ หรือได้แถลงข่าวบ้างพอเป็นพิธี โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หลังจากถูกขัดขวางแล้วพวกแกนนำก็บอกว่า ในวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน จะเดินทางร้องเรียนต่อสหประชาชาติ เพื่อให้รับรู้มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการแสดงออก ซึ่งก็มองออกได้ไม่ยากว่า นี่คือการสร้างพื้นที่ข่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากผลสำเร็จของพวกเขาก็ต้องบอกว่า หากพิจารณาจากการลงทุนก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ขาดทุน แต่หากพิจารณาจากเป้าหมายที่หวังอาศัย "ลูกมั่ว" เพื่อสร้างกระแสต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วให้เกิดผลต่อเนื่องนั้น บอกได้ว่าไม่สำเร็จ จุดไม่ติด เพราะชาวบ้านรู้ทันเล่ห์ดังกล่าวแล้ว และพวกแกนนำไร้เครดิต พิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่เพิ่งออกมาชัดเจนว่า ชาวบ้านไม่สนับสนุน มองออกว่ามีเจตนาการเมืองแอบแฝง
ขณะที่อีกกรณีหนึ่ง นั่นคือ การขัดขืนการตรวจค้นและจับกุม ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่มีการระดมคนเข้ามาเป็นโล่ห์มนุษย์ขัดขวาง ทางหนึ่งหากมองในแง่ทั่วๆไป อาจมองได้ว่า นี่คือการขัดขวางไม่ให้มีการจับกุม ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการปลุกระดมให้เชื่อว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงต้องออกมาปกป้อง แต่อีกด้านหนึ่งหากพิจารณากันให้ละเอียดก็มองได้เหมือนกันว่า มีการวางแผนให้เกิดการปะทะ หากมีการบุกเข้าจับกุม ซึ่งนั่นเท่ากับว่าทำให้ "เรื่องบานปลาย" ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดจลาจลตามมา
กรณีหลัง ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ไม่แข็งกร้าวบุกเข้าไปตรวจค้น แม้จะมีหมายค้นก็ตาม การล่าถอยออกมาก่อน ขณะที่ฝ่ายธรรมกายเสียอีก ที่มีภาพลบ จากการมีพฤติกรรมขัดขวางเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงคำแถลงที่ว่า "ธัมมชโย จะมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น" ซึ่งกลายเป็นวาทะขบขัน ล้อเลียนกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง" ในเวลานี้ ภาพที่ออกมาเหมือนกับการเปลือยกายล่อนจ้อนออกมาเลยว่า ทุกเรื่องที่ผ่านมา ล้วนเป็นเล่ห์กลเพื่อหลบเลี่ยงคดีรับของโจรและฟอกเงินเท่านั้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ในปี 2549 ที่ดิ้นรนจนกระทั่งสามารถทำให้มีการถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ในชั้นศาลฎีกา มาแล้ว
ดังนั้น หากบอกว่าทั้งสองเรื่องดูไปดูมา มันก็เหมือน "คนละเรื่องเดียวกัน" มีแบ็กกราวด์จากที่เดียวกัน นั่นคือทั้งวัดพระธรรมกาย ธัมมชโย กับ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ล้วนเป็นพวกเดียวกัน สนับสนุนเกื้อกูลกันมาตั้งแต่ในอดีต ส่วนพวกนปช. และพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องอธิบายอะไร รู้กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการเคลื่อนไหวที่มีจังหวะใกล้เคียงกัน เหมือนกับการรับส่งลูก และหวังให้กระพือพร้อมกัน มันไม่ได้ผล เป็นเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่รู้ทัน และเบื่อกับอีกทางหนึ่ง มีการสกัดเสียก่อนไม่ให้ปลุกระดมบิดเบือน ทุกอย่างเลยแป้กอย่างที่เห็น
อย่างไรก็ดี สำหรับบรรดาแกนนำนปช. ในสถานการณ์แบบนี้ก็ถือว่ามีแต่กำไร เพราะได้เคลื่อนไหวจัดอีเวนต์ หากมีเสียงวิจารณ์ในเรื่อง "ท่อน้ำเลี้ยง" เป็นจริง เมื่อมีงานแบบนี้แหละมันถึงจะได้รับเป็นก้อนมาบ้าง หลังจากเงียบหายกันไปพักใหญ่แล้ว !!