xs
xsm
sm
md
lg

ภควัทคีตาโมเดล เพื่อสังคมหน้าที่-คุณธรรม

เผยแพร่:   โดย: ผศ.ดร.โกวิทย์ พิมพวง

ผศ.ดร.โกวิทย์ พิมพวง
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์



ช่วงนี้เห็นกระแสซีรีส์อินเดียกำลังมาในสังคมไทยตั้งแต่เรื่อง “พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก” จนล่าสุดเรื่อง “มหาภารตะ” ซึ่งเป็นสุดยอดมหากาพย์ที่มี “เนื้อหายาวที่สุดในโลก” ผนวกกับปัจจุบันความร่วมมือระหว่างไทย-อินเดียกำลังไปได้ดี จึงจะขอพูดเกี่ยวกับอินเดียเพื่อเชื่อมโยงสู่ไทยบ้าง ยอมรับว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้จักมหากาพย์ “รามายณะ” ซึ่งเป็นเรื่องราวการรบกันระหว่าง 2 ฝ่าย คือ เทวดากับยักษ์มากกว่ามหาภารตะ สองเรื่องนี้มีเนื้อหาต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์” ระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม จึงนับว่ามีนัยสำคัญ ในที่นี้จะพูดถึงมหาภารตะตอน “ภควัทคีตา” อันเป็นที่มาของชื่อบทความเพื่อร่วมสร้างสรรค์ “สังคมประชารัฐ” ในยุคเปลี่ยนผ่านประเทศไทย

ภควัทคีตาเป็นเรื่องราวสงครามระหว่างกษัตริย์ 2 ตระกูล คือ “ตระกูลเการพ” กับ “ตระกูลปาณฑพ” แสดงการรบเชิงสัญลักษณ์ระหว่างฝ่ายธรรมะ (ตระกูลปาณฑพ) กับฝ่ายอธรรม (ตระกูลเการพ) ที่น่าสนใจคือเป็นการรบกันเองในมวลหมู่ญาติพี่น้อง มิใช่ศัตรูอื่น เข้าทำนอง “ศึกชิงบัลลังก์” และจบลงแบบ “ธรรมะชนะอธรรม” โดยได้สูญเสียไพร่พลในสงครามจำนวนมาก แต่ในความสูญเสียนั้นทำให้เกิด “สุภาพบุรุษนักรบ” ในศึกสงครามขึ้นมา งานวิจัยต่างๆ ย่อมแสดงผลวิจัยภายใต้ “กรอบแนวคิดทฤษฎี” ฉันใด ภควัทคีตาได้แสดงผล (การรบ) ผ่านการใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีเช่นกัน กรอบแนวคิดทฤษฎีที่ว่าคือ “ธรรมิกยุทธศาสตร์” (Righteous War) ซึ่งมีหลักการสำคัญคือการจัดการอธรรมเพื่อดำรงคุณธรรมผ่านการใช้รูปแบบโมเดลที่สำคัญคือ “DRUG” โดยเน้น “หลักรู้และการทำหน้าที่” (Duty) ซึ่งคงดุลยภาพกับ “ความรับผิดชอบ” (Responsibility) โดย “ไม่แฝงประโยชน์ส่วนตน” (Unselfishness) ทั้งนี้ พร้อมยก “บุญหรือบาปให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสิน” (God) หลังจากได้ทำหน้าที่ของตนได้สมบูรณ์อย่างมีคุณธรรมแล้ว

หันมาดูสังคมไทยในปัจจุบัน “ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสุขและโศกนาฏกรรม” มามาก แต่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่จึงเป็นที่มาของ “การสร้างบ้านแปงเมือง” ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เน้นขับเคลื่อนสังคมด้วยรัฐประศาสโนบายต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ “สังคมหน้าที่-คุณธรรม” ซึ่งถ้าพิจารณาตามกรอบแนวคิดทฤษฎีในภควัทคีตาแล้วทำให้ได้คิดว่า คนในสังคมไทยบางส่วน (อาจ) “ละเลยหลักรู้และการทำหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบ” เพื่อจัดการกับอธรรมบ้าง (หรือไม่) จนในที่สุด เริ่มมาสะดุด “กับดักคุณธรรม” ของตนเสียเองแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าคนในสังคมเริ่มตระหนักรู้และอดทนทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง ย่อมจะได้ยลผลสำเร็จในวันข้างหน้า “คล้ายกับอรชุนที่ตอนแรกท้อใจ ไม่อยาก (ทำหน้าที่) รบข้าศึกศัตรู (ญาติพี่น้อง)” แต่ได้พระกฤษณะคอยกระตุ้นเตือนเรื่อยๆ “โดยให้อรชุนรู้จักหน้าที่และทำตามหน้าที่ของตน” สุดท้ายทำตาม จนเกิดผลสำเร็จตามมา

ผมเห็นว่าสังคมไทยโดยพื้นฐานเป็นสังคมอาทรกัน ฉะนั้น จึงสามารถกระตุ้นเตือนกัน (เรื่อยๆ) ได้ โดยเฉพาะด้านคุณธรรมความดี ที่นับวันจะมีปัญหามากขึ้นในสังคมไทย ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองควรออก “มาตรการกระตุ้นความดีให้มาก ไม่ควรเน้นกระตุ้นแต่เศรษฐกิจเพียงด้านเดียว” ทั้งนี้ เพื่อให้คนในสังคมไทยได้รู้จักหน้าที่และซาบซึ้งคุณค่าของคุณธรรมมากขึ้นนั่นเอง เพราะ“เมื่อคนในสังคมได้รู้จักหน้าที่ ทำตามหน้าที่แล้ว จักเกิดผลดี ทั้งทางโลก (ฆราวาส) และทางธรรม (บรรพชิต)” อย่างแน่นอน ความจริงข้อนี้ได้พิสูจน์เชิงประจักษ์แล้วดังกรณีของอรชุนในภควัทคีตา ดังนั้น ถ้าคนในสังคมไทยทุกภาคส่วนได้รับการกระตุ้นเตือนกันให้ “รู้จักทำหน้าที่” มีดุลยภาพกับ “ความรับผิดชอบ” ภายใต้กรอบ “คุณธรรม” สังคมไทยจะเป็นสังคมดีและงามดั่งเช่นในอดีต ไม่ใช่แค่ดีธรรมดา “แต่ดีขั้นเทพ” ผมเห็นด้วยกับการปฏิรูปสังคมไทยเพื่อยกระดับสังคมให้ดีขึ้น อังกฤษเขาเป็น “เมืองผู้ดี” ถ้าสังคมไทยเราปฏิรูปสำเร็จ เราจะเป็น “เมืองคนดี” และดีกว่าอังกฤษอย่างแน่นอน จึงเสนอภควัทคีตาโมเดล (Bhagavad-Gita Model) ซึ่ง (อาจ) เหมาะกับบริบทสังคมไทยยุคถามหาหน้าที่-คุณธรรม ปัจจุบัน ดังนี้ 1) หลักรู้และการทำหน้าที่ (Duty) 2) ความรับผิดชอบ (Responsibility) 3) ไม่แฝงประโยชน์ส่วนตน (Unselfishness) และ 4) บุญหรือบาปให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสิน (God) เมื่อได้ทำหน้าที่ของตนได้สมบูรณ์อย่างมีคุณธรรมแล้ว

เบื้องต้นผู้มีอำนาจในบ้านเมืองควรเร่งมาตรการสร้างคนในสังคมไทยให้เป็น “สังคมมนุษย์” ที่พร้อมด้วย “จิตสำนึกการทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ” โดยไม่หวั่นเกรงแม้ต่อความตาย หากตนเองมิได้ทำความผิดและเมื่อต้องจัดการกับความไม่ถูกต้อง ก็ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมความถูกต้อง โดย “ไม่ทำเพื่อตนเองหรือพวกพ้องในทางที่ไม่ชอบธรรม” ขั้นต่อมา ควรเร่งมาตรการปลูกฝังค่านิยมต่อเนื่องจากการสร้างจิตสำนึกคือ “เน้นคิดให้ส่วนรวม” มากกว่าประโยชน์ส่วนตน ถือคติ “อยู่หรือตาย ต้องฝาก (ดี) ไว้ให้คนสรรเสริญ” ในโลกนี้ ส่วนโลกหน้า “บุญหรือบาป สวรรค์จะตัดสินตัวเราเอง” ขอเพียงสังคมไทยทำหน้าที่ได้ดีอย่างมีคุณธรรมต่อกันก็พอ แม้แต่นักรบในภควัทคีตาก็ยังได้ถือคุณธรรมในศึกสงคราม

ถ้าสังคมไทยซึ่งเป็นองคาพยพสำคัญของการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ได้ลองนำแนวคิดจาก “ภควัทคีตาโมเดล” ไปร่วมสร้างสรรค์สังคมประชารัฐ ในยุคเปลี่ยนผ่านประเทศไทยที่กำลังถามหา “หน้าที่-คุณธรรม” แล้ว ผมเชื่อว่า จะทำให้เกิดผลดีทั้งทางโลก (ฝ่ายฆราวาส) และทางธรรม (ฝ่ายบรรพชิต) ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น