ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ซ้ำซากจริงๆกับปัญหาใน “อาณาจักรโล่ห์เงิน” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่นับวันนอกจากจะไม่มีการปฏิรูปให้ดีขึ้นแล้ว ก็ยังขยันมีเรื่องราวฉาวโฉ่อย่างต่อเนื่อง
และเป็นอีกครั้งที่ “วงการสีกากี” ต้องสั่นสะเทือนหลายริคเตอร์ เมื่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เข้าตรวจค้นสถานอาบอบนวด “นาตารีเอ็นเตอร์เทนเมนท์ อาบอบนวด” ย่านรัชดาภิเษก ในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ห้วยขวาง แล้วพบการกระทำผิดกฎหมายหลายกรณี ที่เกี่ยวกับการค้าบริการทางเพศ ทั้งหญิงต่างด้าวผิดกฎหมาย และเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ให้บริการ
ในความเป็นจริงอาจไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ แล้วถ้าไม่โลกสวยเกินไป ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า “สถานบริการ” ที่แปะป้ายบังหน้า “อาบ อบ นวด” บ้าง “นวดแผนโบราณ” บ้าง หรือล่าสุดอย่าง “สปา” หลายแห่ง มีการขายบริการทางเพศ เรียกได้ว่ากลาดเกลื่อนทุกแห่งหน โดยเฉพาะใน กทม.ที่มีแทบทุกเขต ทุกหัวถนน และใน “หัวเมือง” ต่างจังหวัดก็มีให้บริการ แต่อาจจะลึกลับรู้กันเฉพาะในวงการ ที่อาจจะต้องไปตามหา “ลายแทง” กันเอง
แต่กรณีของ “นาตารี” ผิดแผกไปจากการเข้าค้นตรวจจับ “สถานบริการ” ที่ผ่านๆมา เพราะงานนี้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่ตำรวจอย่างที่เข้าใจกัน แต่มี “หัวหอก” เป็น “ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง” ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย สนธิกำลังกับ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เจ้าหน้าที่ทหารจากกองพันทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ร.1 พัน 1 รอ. ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ภายใต้ชื่อ “ปฏิบัติการสิงขร”
หากติดตามข่าวแขนงต่างๆ จะสังเกตได้ว่า “ปฏิบัติการสิงขร” ครั้งนี้ก็มีการระบุว่า ตำรวจนครบาล และสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ห้วยขวาง ว่าได้มีส่วนร่วมด้วย แต่ก็ถูกแปะอยู่ “ท้ายข่าว” ให้ครบองค์ประกอบเท่านั้น หรือเหมือนเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ ไม่ได้เป็นกำลังหลักในการเข้าปราบปรามครั้งนี้ ทั้งที่เป็น “เจ้าของพื้นที่”
แล้วหาก “ตำรวจ” ได้มีส่วนร่วมในการวางแผนจับกุมด้วยจริง ภาพที่ออกมาคงไม่เป็นเช่นนี้ เพราะในฐานะ “เจ้าของพื้นที่” ที่รู้อยู่เต็มอกว่ามีเรื่องผิดกฎหมายในเขตรับผิดชอบตัวเอง คงไม่ปล่อยหน่วยงานอื่นมา “ตบหน้า” ถึงถิ่น หนักเสียยิ่งกว่าโดนตำรวจด้วยกันอย่าง “กองปราบปราม” มา “ตบหน้า” เสียอีก
เพราะหลายครั้งในอดีตก็มีการปฏิบัติการครั้งใหญ่ๆที่ “สน.เจ้าของพื้นที่” ไม่ได้ไปมีส่วนร่วม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็น “ตำรวจกองปราบฯ” ที่เข้าตรวจค้นจับกุมสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งบ่อนการพนัน ยาเสพติด หรือเทค ผับ ร้านเหล้าที่เปิดเกินเวลา ให้เด็กอายุต่ำกกว่ากฎหมายกำหนดเข้าใช้บริการ น้อยครั้งที่จะเป็นจากหน่วยงานอื่นเข้ามาในลักษณะนี้
เมื่อรูปการณ์เป็นเช่นนี้ก็ต้องมี “ผู้ถูกสังเวย” หนีไม่พ้น “5 เสือ สน.ห้วยขวาง” ประกอบด้วยผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ และสารวัตรฝ่ายต่างๆ รวม 5 นายตำรวจ ที่ต้องถูกเด้งไปตามระเบียบ
แต่เรื่องคงไม่จบง่ายๆ เพราะยังมีปม “ส่วยน้ำกาม” ที่ต้องติดตามกันต่อจาก “ปฏิบัติการนาตารี” ที่พบบัญชี หรือ “โพย” ระบุถึงการจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานสำคัญๆเป็นหางว่าว โดยระบุเป็นชื่อย่อที่ตีความกันได้อย่างไม่ยากเย็น
ไล่ตั้งแต่ ท่องเที่ยว 1 หมื่นบาท ที่น่าจะหมายถึง กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว
191 2.5 หมื่นบาทก็ตรงตัวที่ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ
สืบห้วยขวาง - 2.4 หมื่นบาท จิ้มไปที่ ฝ่ายสืบสวน สน.ห้วยขวาง
สันติบาล - 3 หมื่นบาท ไม่ใช่ใครอื่นเป็น กองบัญชาการตำรวจสันติบาล
ตม. - 7.6 หมื่นบาท คงหนีไม่พ้น สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
กทม. - 6 พันบาท ประเมินกันว่าเป็น กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ดูแลเรื่องการต่อเติมอาคาร
ดส. - 6 หมื่นบาท ค้นในกูเกิลก็เจอว่าเป็นชื่อย่อของ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี
สืบ 1 - 2.4 หมื่นบาท ชื่อย่อที่รู้กันในวงการว่าสังกัด ตำรวจสืบสวนนครบาล 1
นอกจากนี้ก็ยังมีรายชื่อของบุคคล เช่น ทนายภิภพ จ่าเค้ก ดาบสมนึก ดาบมานพ ดาบชายกอง 1 รองพรศักดิ์ เบียร์กอง 2 และพี่หวัง ที่มีชื่อว่าได้จ่ายเงินให้เมื่อช่วงเดือน 3 รายละหลักพันถึงหลักหมื่น ส่วนใครเป็นใครนั้นเชื่อว่าตอนนี้คงมีการ “ไล่เบี้ย” กันอยู่
คำนวณแล้ว “ซ่องกิตติมศักดิ์” แห่งนี้มีการจ่ายเงินตามโพย เฉพาะ “เดือน 3” รวมแล้วถึง 3.72 แสนบาท
จากการปล่อยให้มีการค้าบริการทางเพศ ทั้งยังมีเรื่องการเรียกรับเงิน หรือเรียกกันว่า “ส่วย” ที่มีชื่อหน่วยงานสำคัญๆร่วม “กินโต๊ะ” กันอย่างเป็นเรื่องปกติ สะท้อนให้เห็นถึงความฟอนเฟะของ สตช. รวมทั้งระบบราชการไทยได้เป็นอย่างดี
ซ้ำร้ายยังเป็นการกระทืบประเด็นการ “ค้ามนุษย์” ของไทยให้จมดินลงไปอีก จากเดิมที่ถูกประชาคมโลกจับตามองในเรื่องการบังคับใช้แรงงานเด็ก การค้าประเวณีอยู่แล้ว จนติดแบล็คลิสต์อยู่ในระดับ “เทียร์ 3” ในรายงานสถานการณ์ค้ามนุษย์ของทางสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับการติด “ใบเหลือง” จากสหภาพยุโรปเรื่องที่เกี่ยวกับการทำประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) ด้วย
การพบ “ส่วยน้ำกาม” หนนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อครั้งกวาดล้างจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ “โรฮีนจา” ในพื้นที่ภาคใต้ เมื่อช่วง 2 ปีก่อน ก็พบบัญชีการจ่าย “ส่วย” ให้เจ้าหน้าที่รัฐยาวเป็นหางว่าวเช่นกัน
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องเต้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะ สตช.ที่มีการตั้งกรรมการสอบสวนกันหยุบหยับ แต่สุดท้ายปลายทางจะลากคอคนผิดมาลงทัณฑ์ได้ หรือปล่อยให้เรื่องเงียบไปกับสายลมก็ต้องลุ้นกัน เพราะถือเป็นโอกาสให้กู้วิกฤตศรัทธาของ “องค์กรตำรวจ” ได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากดำเนินการกวาดล้างสิ่งผิดกฎหมาย-ผู้มีอิทธิพลตามนโยบายของ คณะรักษาความสงบแห่งช่าติ (คสช.) แล้ว ก็ยังมี “ทฤษฎีสมคบคิด” บางประการเกี่ยวกับ “ปฏิบัติการสิงขร” ครั้งนี้ว่าอาจจะไม่ใช่แค่การดำเนินตามนโยบายของ คสช. แต่เป็นผลพวงมาจากการ “งัดข้อ” กันของ “ผู้ใหญ่” บางคนในแวดวงสีกากี
เป็น “แรงเฉื่อย” ที่มีผลจากการความขัดแย้งในการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) - สารวัตร ที่ยืดเยื้อผิดปกติ จนเกิดรายการ “เกาเหลา” กันระหว่าง “2 แป๊ะ” รายหนึ่ง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) อีกรายคือ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รรท.ผบช.น.) ที่บังเอิญมีนิคเนม “แป๊ะ” เหมือน ผบ.ตร.
รวมทั้งประเมินกันว่างานนี้คนที่รับเคราะห์เต็มไม่ใช่ “จักรทิพย์” แต่เป็น “ศานิตย์” มากกว่าในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่โดยตรง
เหตุที่มีการประเมินว่ามี “ทฤษฎีสมคบคิด” นั้นก็ไม่ใช่เรื่องมโนเป็นตุเป็นตะไปเอง ด้วย “ปฏิบัติการสิงขร” มีหลายส่วนที่น่าสังเกต เริ่มตั้งแต่การการใช้ “กรมการปกครอง” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน แทนที่จะใช้กลไกภายใน สตช. โดยอาจจะอ้างว่าเป็นเพราะได้รับการร้องเรียนมาจาก องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศด้านต่อต้านการค้ามนุษย์ (NVADER) ที่แจ้งเบาะแสผ่านมาทาง “ศูนย์ดำรงธรรม” ของกรมการปกครองก็ตาม แต่ที่ผ่าน “ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง” จะมีบทบาทเฉพาะการจับกุมการลักลอบค้าประเวณีตามซ่องและคาราโอเกะในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก ไม่ค่อยปรากฎว่ามาสร้างผลงานในพื้นที่ กทม.
เมื่อไล่ดูชื่อหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติการหนนี้ ก็ยิ่งชัดเจนว่ามีความพยายามกัน “ตำรวจ” ให้อยู่วงนอก เปิดพื้นที่ให้ “ทหาร” เข้ามามีบทบาททั้งเจ้าหน้าที่จากกองพันทหารราบที่ 1 และ กอ.รมน. รวมไปถึงทหารจากกรมทหารราบที่ 1ร.1 พัน 1 รอ. ที่ตั้งของมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ หรือฐานที่มั่น “บูรพาพยัคฆ์” ในปัจจุบันด้วย
และเป็น “กรมการปกครอง” ที่อยู่ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย ที่มี “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่
เชื่อมโยงไปถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สตช. ที่รู้กันว่าเป็นผู้ผลักดัน “จักรทิพย์” ขึ้นเบอร์ 1 กรมปทุมวันในปัจจุบัน
ฝ่ายหนึ่งมี “จักรทิพย์” ภายใต้ร่วมเงาของ “บิ๊กป้อม - บิ๊กป๊อก” ขณะที่ฝ่าย “ศานิตย์” นั้นถูกมองว่าเป็นนายตำรวจที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ไว้วางใจเป็นอย่างสูง ถึงขั้นส่งมาจ่อนั่งเก้าอี้ ผบช.น.ก่อนเกษียณอายุราชการในช่วงเดือนกันยายน 2559 แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เพราะมีแรงต้านจากอีกฝ่าย ทำให้ได้แค่นั่งแช่ในตำแหน่งรักษาราชการแทนเพื่อรอวันเกษียณเท่านั้น
อย่างที่บอกไปแล้วว่า ใน “ระดับบน” มีความขุ่นข้องหมองใจกันมาจากวาระการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) - สารวัตร ที่มีการประลองกำลังกันอย่างหนักของ “บิ๊ก คสช.” ผ่านตัวแทนที่เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ จนทำให้การจัดทำโผล่าช้าเป็นแรมปี
ว่ากันว่าในขั้นตอนเคาะเก้าอี้ มี “ตั๋ว - เด็กฝาก - เด็กเส้น” ว่อนไปหมด โดยเฉพาะของ “พี่ใหญ่ - น้องเล็ก” ที่มะรุมมะตุ้มแบบไม่ยอมกัน แต่ทั้งคู่กลับไม่ออกหน้า ให้ “ตัวแทน” ฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ชนกันอุตลุดต้องส่งบิ๊กนั่นบิ๊กนี้มาเคลียร์ 3-5 รอบกว่าจะสะเด็ดน้ำ แต่ก็สะเด็ดน้ำแบบขายผ้าเอาหน้ารอด เป็นที่มาของโผพิสดารที่มีชื่อผิด ตำแหน่งเพี้ยน แต่งตั้งคคนตาย หลายร้อยตำแหน่ง จนคนนินทาไปทั่ว
นอกจาก “บิ๊กแป๊ะ - จักรทิพย์” ที่เป็นคนทำโผด้วยตัวเองแล้ว ก็มี “บิ๊กแป๊ะ - ศานิตย์” เป็นอีกคนที่มีบทบาทสำคัญ แต่ด้วยตั๋วที่มาจากคนละสายทำให้เกิด “ศึกแป๊ะชนแป๊ะ” ปีนเกลียวกันหลายรอบ จนทุกวันนี้แทบมองหน้ากันไม่ติด
ในจังหวะที่ “ศานิตย์” กำลัง “เมาหมัด” จากกรณีวัยรุ่นชาย 6 คน ที่ถูกระบุว่าเป็นลูกตำรวจ ก่อเหตุใช้อาวุธมีดรุมทำร้ายร่างกาย “สมเกียรติ ศรีจันทร์” ชายขาพิการอาชีพส่งขนมปัง จนเสียชีวิต แต่พนักงานสอบสวนคดีนี้ กลับทำสำนวนเป็นคดีฆ่าโดยไม่ได้เจรจา สวนทางกับกระแสสังคมที่เรียกร้องให้ส่งฟ้องฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามภาพเหตุการณ์ที่ปรากฎตามสื่อและสังคมออนไลน์ แต่ดูเหมือน “ศานิตย์” จะไปให้ท้ายพนักงานสอบสวน จนถูกกระแสสังคมถล่มอย่างหนัก
จนมาถึงกรณี “นาตารี” ก็ยิ่งทำให้ “ศานิตย์” ถูกเพ่งเล็งมากยิ่งขึ้น
ยิ่งเมื่อถอดรหัสจากคำพูดของ “จูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ที่ช่วงหลังมีบทบาทเด่นขึ้น และทำตัวเสมือน “มือขวา” ของ ผบ.ตร. ไปพูดในที่ประชุมมาตรการป้องกันปราบปรามการลัก ลอบเล่นการพนันฟุตบอลยูโร 2016 ที่ บช.น. ร่วมกับ “ศานิตย์” และผู้ที่เกี่ยวข้อง
พลันที่เสร็จการหารือเรื่องพนันฟุตบอล “พงศพัศ” พูดถึงการจับกุม “นาตารี” และบัญชีส่วยตอนหนึ่งกับ “ศานิตย์” อย่างน่าสนใจว่า “หากปล่อยปละละเลย ไม่สอดส่องดูแลสถานประกอบการอาบอบนวด ผบ.ตร.จะพิจารณาดำเนินการกับผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้น"
เรื่องแบบนี้ “พงศพัศ” คงไม่ได้พูดเองเออเอง แต่เป็นสคริปต์ที่เหมือนมาพูดแทน “จักรทิพย์” ทิ่มหมัดฮุคไปที่ “ศานิตย์” โดยตรง
ผู้สันทัดกรณีแวดวงสีกากีบอกไว้ว่า ปกติเมื่อเกิดเหตุการณ์คล้ายกรณีของ “นาตารี” ผู้ที่จะถูกเพ่งเล็งจะเป็น “ผู้กำกับ” โรงพักในพื้นที่ จากนั้นก็จะเป็น “รองผู้บัญชาการ” ที่รับผิดชอบพื้นที่ และ “รองผู้บัญชาการ” ที่ดูแลงานป้องกันปราบปราม โดยที่ “ผู้บัญชาการ” จะมีบทบาทเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่หนนี้ “สัญญาณ” ต่างออกไป เมื่อมีการย้าย “5 เสือ” ของ สน.พื้นที่แล้ว ผู้ที่ถูกจ้องเล่นงานลำดับต่อมากลับเป็น “ศานิตย์” ที่เป็น รรท.ผบช.น. เสมือนมีวาระแอบแฝงบางประการ
ตามข้อมูล “บิ๊กแป๊ะ - ศานิตย์” จะเกษียณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โอกาสจะได้นั่งเป็น ผบช.น.เต็มก้นคงปิดลงแล้ว แม้จะมีแบ็ดกีเป็นระดับ “เบอร์ 1 คสช.” ก็ตาม เพราะตลอดปีที่คุม บช.น.สร้างความขัดเคืองให้แก่บรรดา “ผู้มีอำนาจ” มากกว่า จนถูกล็อคเป้าเตรียมสอยออกจากตำแหน่งก่อนเกษียณเลยด้วยซ้ำ ในอารมณ์ว่าอีกไม่ถึง 3 เดือนก็รอไม่ไหว หาเหตุถีบส่งพ้นเก้าอี้ “แม่ทัพเมืองหลวง” ไปในวันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี
แล้วถ้า “ศานิตย์” ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งก่อนเกษียณโดยอ้างเหตุจาก “ปฏิบัติการนาตารี” ก็ต้องบอกว่างานนี้ “พี่ใหญ่” ไม่ไว้หน้า “น้องเล็ก” เลย แล้วอาจจะเป็นปมที่เขย่าแผงอำนาจภายใน คสช.ครั้งใหญ่อีกด้วย
เพราะเหมือนเป็นสัญญาณว่า “พี่ใหญ่” พร้อมที่จะหักกับ “น้องเล็ก” ได้ทุกเมื่อ.