วานนี้ (16มิ.ย.) น.พ.ชัยเลิศ พิชิตพรชัย อดีต อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เข้ายื่นฟ้อง สภามสธ. นายองค์การ อินทรัมพรรย์ นายกสภา มสธ. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่ง สภามสธ.ที่ 9/2559 กรณีถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่งอธิการบดี ที่ลงนามโดย นายองค์การ พร้อมให้คืนตำแหน่งอธิการบดีให้แก่ตนเอง และระหว่างการพิจารณาคดี ขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยสั่งระงับคำสั่งสภามสธ. ที่ถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่งอธิการบดีไว้ก่อน
นายชัยเลิศ กล่าวว่า ที่ต้องมาฟ้องคดีเพราะเห็นว่า มติสภามสธ.ไม่เป็นธรรม กระบวนการหาข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสภาฯ มีการพิจารณาและมีมติเรื่องดังกล่าว พร้อมกับมีคำสั่งถอดถอนในวันเดียวกัน คือวันที่ 9 มิ.ย. รวมทั้งยังพบว่า การประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภามสธ. บางคนขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง แต่กลับร่วมประชุมด้วย
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ตนถูกถอน มากจากการที่ตนเป็นคนตรง ยึดกฎ ระเบียบ ในการบริหารงานเป็นหลัก ที่ผ่านมา กรณีกรรมการสภา มสธ. บางคนมีคำสั่งให้ตนปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะขัดต่อระเบียบ กฎหมาย จึงทำให้กรรมการบางคนอาจจะไม่พอใจ จึงมีการระบุเป็นเหตุผลในการถอดถอนว่า เป็นเพราะตนไม่สามารถทำงานร่วมกับสภามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะถ้าไปดูข้อเท็จจริงจะเห็นว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตนเองปฏิบัติขัดมติของสภา มสธ.
"ถ้าไปตรวจดู การประชุม สภามสธ. 26 ครั้ง ในช่วงปีครึ่ง ผมไม่เคยขัดมติสภาแม้สักครั้ง ท่านบัญชาอะไรมาผมก็ทำ แต่ถ้าคนๆ เดียวสั่งการ ผมไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะมันติดช่องกฎหมายที่กำหนดว่า อธิการบดีจะต้องรับมติสภาเพื่อไปปฏิบัติ ถ้าไม่ใช่มติสภา ก็จำเป็นต้องรอมติสภาก่อน ตรงนี้ถ้าเขาเห็นว่าผมไม่ทำตามความต้องการของใครบางคนในสภาฯ ก็ต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า กฎหมายให้ผมต้องทำตามมติ สภามสธ. ซึ่งสภามีมติครั้งใด ผมปฏิบัติทุกครั้ง"
นายชัยเลิศ ยังระบุว่าอีกว่า กรณีตนให้เริ่มกระบวนการสรรหากรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดใหม่ แทนชุดปัจจุบันที่จะหมดวาระ ในวันที่ 23 พ.ย. 59 นี้ซึ่งเป็นการดำเนินการตามระยะเวลาที่ข้อบังคับ และประกาศของ มสธ. กำหนดไว้ ทำให้นายกฯ และกรรมการสภามสธ. ไม่พอใจ แม้เมื่อเริ่มกระบวนการสภามสธ. จะมีมติรับทราบ แต่ต่อมานายกสภา ก็มีคำสั่งมาให้ยุติการดำเนินการ แต่ตนปฏิเสธ ทางนายกสภาฯ ก็เรียกประชุมสภามสธ. นัดพิเศษ วันที่ 31 พ.ค. เพื่อมีมติให้ระงับกระบวนการสรรหานายกฯ และกรรมการสภาชุดใหม่ ซึ่งในการยื่นฟ้องคดีครั้งนี้ ก็ได้มีการนำส่งวีดีโอเทปบันทึกการประชุมสภามหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
ส่วนที่อ้างว่า ตนไปต่างประเทศ ไม่มีการยื่นลากับสภามสธ.นั้น ตามกฎหมายและประเพณีที่ปฏิบัติกันมาทุกมหาวิทยาลัยที่ยังไม่ออกนอกระบบ และอยู่ในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) หากผู้บริหารจะเดินทางไปต่างประเทศ ก็ต้องยื่นลากับ เลขา สกอ.อยู่แล้ว ไม่ใช่ลากับสภามหาวิทยาลัย
ส่วนกรณีที่อ้างว่า ตนใช้เวลางานไปเรียน วปอ.นั้น หลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรชั้นนำระดับประเทศของผู้บริหารองค์กร ซึ่งผู้เข้ารับการอบรม ก็ล้วนแต่เป็นปลัดกระทรวง อธิบดีกรมต่างๆ โดยการไปอบรมหลักสูตรดังกล่าว ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ โดยตนเข้าอบรมตั้งแต่ เดือนต.ค. 58 และจะครบหลักสูตรในเดือนก.ย. 59 ซึ่งตลอดเวลาการของการอบรม ไม่เคยทำให้งานราชการของมหาวิทยาลัยเสียหาย ซึ่ง 2 วัน ก่อนที่สภามสธ. จะมีมติถอดถอนตนจากการเป็นอธิการบดี ตนก็ได้ยื่นหนังสือถึงรมว.ศึกษาธิการ ขอให้มีการตั้งคณะกรรมการจากบุคคลภายนอก เข้าไปตรวจสอบทั้งการบริหารของสภามสธ. และตรวจสอบตนเองในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว แต่สภามสธ. ก็กลับมีคำสั่งถอดถอนเสียก่อน
นายชัยเลิศ กล่าวว่า ที่ต้องมาฟ้องคดีเพราะเห็นว่า มติสภามสธ.ไม่เป็นธรรม กระบวนการหาข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสภาฯ มีการพิจารณาและมีมติเรื่องดังกล่าว พร้อมกับมีคำสั่งถอดถอนในวันเดียวกัน คือวันที่ 9 มิ.ย. รวมทั้งยังพบว่า การประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภามสธ. บางคนขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง แต่กลับร่วมประชุมด้วย
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ตนถูกถอน มากจากการที่ตนเป็นคนตรง ยึดกฎ ระเบียบ ในการบริหารงานเป็นหลัก ที่ผ่านมา กรณีกรรมการสภา มสธ. บางคนมีคำสั่งให้ตนปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะขัดต่อระเบียบ กฎหมาย จึงทำให้กรรมการบางคนอาจจะไม่พอใจ จึงมีการระบุเป็นเหตุผลในการถอดถอนว่า เป็นเพราะตนไม่สามารถทำงานร่วมกับสภามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะถ้าไปดูข้อเท็จจริงจะเห็นว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตนเองปฏิบัติขัดมติของสภา มสธ.
"ถ้าไปตรวจดู การประชุม สภามสธ. 26 ครั้ง ในช่วงปีครึ่ง ผมไม่เคยขัดมติสภาแม้สักครั้ง ท่านบัญชาอะไรมาผมก็ทำ แต่ถ้าคนๆ เดียวสั่งการ ผมไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะมันติดช่องกฎหมายที่กำหนดว่า อธิการบดีจะต้องรับมติสภาเพื่อไปปฏิบัติ ถ้าไม่ใช่มติสภา ก็จำเป็นต้องรอมติสภาก่อน ตรงนี้ถ้าเขาเห็นว่าผมไม่ทำตามความต้องการของใครบางคนในสภาฯ ก็ต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า กฎหมายให้ผมต้องทำตามมติ สภามสธ. ซึ่งสภามีมติครั้งใด ผมปฏิบัติทุกครั้ง"
นายชัยเลิศ ยังระบุว่าอีกว่า กรณีตนให้เริ่มกระบวนการสรรหากรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดใหม่ แทนชุดปัจจุบันที่จะหมดวาระ ในวันที่ 23 พ.ย. 59 นี้ซึ่งเป็นการดำเนินการตามระยะเวลาที่ข้อบังคับ และประกาศของ มสธ. กำหนดไว้ ทำให้นายกฯ และกรรมการสภามสธ. ไม่พอใจ แม้เมื่อเริ่มกระบวนการสภามสธ. จะมีมติรับทราบ แต่ต่อมานายกสภา ก็มีคำสั่งมาให้ยุติการดำเนินการ แต่ตนปฏิเสธ ทางนายกสภาฯ ก็เรียกประชุมสภามสธ. นัดพิเศษ วันที่ 31 พ.ค. เพื่อมีมติให้ระงับกระบวนการสรรหานายกฯ และกรรมการสภาชุดใหม่ ซึ่งในการยื่นฟ้องคดีครั้งนี้ ก็ได้มีการนำส่งวีดีโอเทปบันทึกการประชุมสภามหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
ส่วนที่อ้างว่า ตนไปต่างประเทศ ไม่มีการยื่นลากับสภามสธ.นั้น ตามกฎหมายและประเพณีที่ปฏิบัติกันมาทุกมหาวิทยาลัยที่ยังไม่ออกนอกระบบ และอยู่ในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) หากผู้บริหารจะเดินทางไปต่างประเทศ ก็ต้องยื่นลากับ เลขา สกอ.อยู่แล้ว ไม่ใช่ลากับสภามหาวิทยาลัย
ส่วนกรณีที่อ้างว่า ตนใช้เวลางานไปเรียน วปอ.นั้น หลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรชั้นนำระดับประเทศของผู้บริหารองค์กร ซึ่งผู้เข้ารับการอบรม ก็ล้วนแต่เป็นปลัดกระทรวง อธิบดีกรมต่างๆ โดยการไปอบรมหลักสูตรดังกล่าว ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ โดยตนเข้าอบรมตั้งแต่ เดือนต.ค. 58 และจะครบหลักสูตรในเดือนก.ย. 59 ซึ่งตลอดเวลาการของการอบรม ไม่เคยทำให้งานราชการของมหาวิทยาลัยเสียหาย ซึ่ง 2 วัน ก่อนที่สภามสธ. จะมีมติถอดถอนตนจากการเป็นอธิการบดี ตนก็ได้ยื่นหนังสือถึงรมว.ศึกษาธิการ ขอให้มีการตั้งคณะกรรมการจากบุคคลภายนอก เข้าไปตรวจสอบทั้งการบริหารของสภามสธ. และตรวจสอบตนเองในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว แต่สภามสธ. ก็กลับมีคำสั่งถอดถอนเสียก่อน