วานนี้ (23พ.ค.) นายมังโสด มะเต๊ะ ที่ปรึกษาสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จ.สงขลา พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสมาคม ได้ยื่นหนังสือถึง คณะกรรมการกกต. ผ่านนายพลวัฒน์ พิรติชัย ผอ.สำนักเลขานุการ สำนักงานกกต.ว่า พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559 มาตรา 61 ที่เผยข้อความผิดไปจากข้อเท็จจริง และเสนอให้หรือสัญญาว่าจะให้ เพื่อจูงใจให้ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ จากกรณีที่ พล.ต.สรรเสริญ แถลงข่าว เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า ภายใต้ร่างรธน.ใหม่ รัฐสามารถดำเนินการให้เด็กได้รับการศึกษาภาคบังคับเกินกว่าเวลา 12 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ รวมทั้งยังได้แถลงว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ไปจัดทำกฎหมายให้ชัดเจน เพื่อให้สังคมสบายใจ และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลนี้ต้องการสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาภาคบังคับตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 พร้อมกับดูแลการศึกษาระดับอนุบาล พร้อมกับระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยก่อนเป็นการประกาศนโยบายของพรรคการเมือง ที่ไม่มีอะไรรองรับ
นายมังโสด กล่าวว่า ร่างรธน. มาตรา 54 ได้บัญญัติว่า รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่า ร่างรธน.นี้จัดการด้านการศึกษาเป็นเวลา 12 ปีตายตัว แตกต่างจากรธน.ปี 40 หรือ ปี 50 ที่บัญญัติ ที่มีถ้อยคำว่า ไม่น้อยกว่า 12 ปี ดังนั้นในร่างรธน.ใหม่ รัฐจะไม่สามารถขยายเวลาในการช่วยเหลือด้านการศึกษาเกินกว่า 12 ปีได้ การแถลงว่า เป็นการประกาศนโยบายของพรรคการเมืองที่ไม่มีอะไรรองรับ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมา พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ก็มีความสอดคล้องกับรธน.ปี 40 และปี 50 มาโดยตลอด การที่ พล.ต.สรรเสริญ ระบุว่า หากร่างรธน.ผ่านประชามติ ก็สามารถไปแก้ไข พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ให้เพิ่มการศึกษาภาคบังคับจากมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไปจนถึง ม.6 แต่จะแก้ไขได้อย่างไร เพราะจะเป็นการขัดแย้งกับรธน. ที่เป็นกฎหมายแม่
"การมายื่นร้องครั้งนี้ ไม่ใช่การตำหนิ แต่อยากให้รัฐชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ประชาชน ร่างรธน.บอกอย่างไร ก็ควรชี้แจงตามนั้น เพราะขณะนี้การทำความเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับร่างรธน.ของประชาชน เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงอยากให้ กกต.พิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายประชามติ ที่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือชี้นำให้ประชาชนออกเสียงรับร่างรธน.ฉบับนี้หรือไม่ หากพบว่ามีความผิด ขอให้ กกต.ใช้อำนาจตามกฎหมายดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีกับพล.ต.สรรเสริญด้วย" นายมังโสด กล่าว
นายมังโสด กล่าวว่า ร่างรธน. มาตรา 54 ได้บัญญัติว่า รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่า ร่างรธน.นี้จัดการด้านการศึกษาเป็นเวลา 12 ปีตายตัว แตกต่างจากรธน.ปี 40 หรือ ปี 50 ที่บัญญัติ ที่มีถ้อยคำว่า ไม่น้อยกว่า 12 ปี ดังนั้นในร่างรธน.ใหม่ รัฐจะไม่สามารถขยายเวลาในการช่วยเหลือด้านการศึกษาเกินกว่า 12 ปีได้ การแถลงว่า เป็นการประกาศนโยบายของพรรคการเมืองที่ไม่มีอะไรรองรับ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมา พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ก็มีความสอดคล้องกับรธน.ปี 40 และปี 50 มาโดยตลอด การที่ พล.ต.สรรเสริญ ระบุว่า หากร่างรธน.ผ่านประชามติ ก็สามารถไปแก้ไข พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ให้เพิ่มการศึกษาภาคบังคับจากมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไปจนถึง ม.6 แต่จะแก้ไขได้อย่างไร เพราะจะเป็นการขัดแย้งกับรธน. ที่เป็นกฎหมายแม่
"การมายื่นร้องครั้งนี้ ไม่ใช่การตำหนิ แต่อยากให้รัฐชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ประชาชน ร่างรธน.บอกอย่างไร ก็ควรชี้แจงตามนั้น เพราะขณะนี้การทำความเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับร่างรธน.ของประชาชน เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงอยากให้ กกต.พิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายประชามติ ที่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือชี้นำให้ประชาชนออกเสียงรับร่างรธน.ฉบับนี้หรือไม่ หากพบว่ามีความผิด ขอให้ กกต.ใช้อำนาจตามกฎหมายดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีกับพล.ต.สรรเสริญด้วย" นายมังโสด กล่าว
