รายงานข่าวจาก กรมการขนส่งทางบก ก.คมนาคม แจ้งว่า ขณะนี้ได้เกิดความผิดปกติขึ้นในโครงการจัดหาและพัฒนาระบบพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง(Master Data Management : MDM)วงเงิน 412 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นโครงการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ และมีความสำคัญต่อการปฏิบัติงานของกรมฯ ในการบูรณาการข้อมูลสนับสนุนการให้บริการของกรมฯ เพื่อรองรับปริมาณงาน และข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นในโครงการ MDM ครอบคลุมการจัดเก็บข้อมูลหลักฐานของกรมการขนส่งทางบกทั้งหมด ได้แก่ ข้อมูลทะเบียนรถ ทะเบียนใบอนุญาตขับขี่ประเภทต่างๆ ตลอดจนข้อมูลของผู้ประกอบการรถยนต์ และเครื่องยนต์ เป็นต้น โดยโครงการ MDM นี้ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2555 โดยกรมฯ ได้ประกาศประกวดราคา จนได้ผู้ชนะคือ บริษัท ซีดีจี ซิสเต็มส์ จำกัด (บ.ซีดีจีฯ) ในวงเงิน 412,900,000 บาท ก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาว่าจ้าง เมื่อ 28 ก.ย.55 มีระยะสัญญางาน 780 วัน สิ้นสุดสัญญา 17 พ.ย.57
อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน บ.ซีดีจีฯ ยังไม่สามารถส่งมอบงานให้กับทางกรมฯได้ ตามระยะเวลาที่สัญญากำหนด โดย บ.ซีดีจีฯได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลา และได้รับอนุมัติจากทางกรมฯไป 2 ครั้ง โดยอ้างถึงอุปสรรคจากการสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง ที่มีการปิดล้อมสำนักงานกรมฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าสถานที่เพื่อปฏิบัติงานได้ รวมการขยายเวลา 2 ครั้ง ทั้งสิ้น 244 วัน สิ้นสุดการขยายสัญญา 19 ก.ค.58 แต่ที่สุดแล้ว บ.ซีดีจีฯ ก็ส่งมอบงานได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 พ.ย.58 กรมฯได้มีหนังสือแจ้งไปยังหัวหน้าส่วนพัสดุ และแผ่นป้ายทะเบียนรถ อ้างถึงการประชุมติดตามสถานการณ์ดำเนินโครงการ MDM เมื่อ 2 ก.ย.58 ซึ่งที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ได้ให้ความเห็นอ้างอิงระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ ข้อ 138 ระบุว่า “ในกรณีคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อตกลงได้ และจะต้องมีการปรับตามสัญญา หรือข้อตกลงนั้น หากจำนวนเงินค่าปรับเกินร้อยละ 10 ของวงเงินค่าพัสดุ หรือค่าจ้าง ให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการบอกเลิกสัญญา หรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะยินยอมเสียค่าปรับให้แก่ทางราชการ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ให้ส่วนราชการพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น”
ต่อมา 16 พ.ย.58 บ.ซีดีจีฯ ได้ทำหนังสือแจ้งหัวหน้าส่วนพัสดุและแผ่นป้ายทะเบียนรถ เรื่องการเรียกค่าปรับตามสัญญา จากหนังสือกรมการขนส่งทางบก ที่ คค.0416.6 / 12752 ลงวันที่ 17 ส.ค.58 ได้แจ้งเรียกค่าปรับในอัตราวันละ 412,900 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบ ซึ่ง บ.ซีดีจีฯ ก็ยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ และขอให้พิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญา ซึ่งต่อมา มติที่ประชุมของกรมฯ เห็นควรผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญา โดยให้เหตุผลว่า บ.ซีดีจีฯ ยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงความมุ่งมั่นในการทำงานให้แล้วเสร็จ พร้อมกับให้บริษัทฯ ไปจัดทำแผนที่ชัดเจนเสนอให้กรมฯโดยเร็ว ภายใน 7 วัน
ทั้งนี้เมื่อคำนวณการเรียกค่าปรับ นับตั้งแต่ 19 ก.ค.58 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการขยายเวลา ครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบันประมาณ 9 เดือนเศษ หรือ มากกว่า 270 วัน หากคำนวณค่าปรับที่ บ.ซีดีจีฯ ต้องชำระให้แก่กรมฯ เป็นเงินมากถึง 111 ล้านบาทเศษ ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 10 ของวงเงินโครงการ หรือหากคำนวณในแง่ของระยะเวลาก็จะครบกำหนด 100 วัน ไปตั้งแต่ 27 ต.ค.58 ทั้งสองกรณีเข้าหลักเกณฑ์การบอกเลิกสัญญาได้ ตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ ข้อ 138
จากการตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการ MDM ซึ่งได้กำหนดการส่งมอบงานเป็น 7 งวด พบว่า บ.ซีดีจีฯ ได้มีการส่งมอบงานผ่านการตรวจรับ และเบิกจ่ายเงินไปแล้ว 4 งวด คิดเป็นเงิน 281 ล้านบาทเศษ ยังเหลืออีก 3 งวด ที่ได้มีความพยายามส่งมอบงาน แต่ไม่ผ่านการตรวจรับของคณะกรรมการ คิดเป็นเงิน 131 ล้านบาทเศษ โดยครั้งล่าสุด บ.ซีดีจีฯ ได้ส่งมอบงานเมื่อ 7 ม.ค.59 แต่ไม่ผ่านการตรวจรับของคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 25 ม.ค.59 ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการส่งงานและตรวจรับมาแล้วหลายครั้ง แต่ บ.ซีดีจีฯ ก็ยังไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขให้ครบถ้วนได้ตามขอบเขตของระบบ จากนั้น บ.ซีดีจีฯได้มีการส่งเอกสารแนวทางการปรับปรุงคุณภาพข้อมูลไปยังกรมฯ เมื่อ 15 ก.พ.59 และได้ดำเนินการแก้ไขจนแจ้งส่งงานจำนวน 1 งวด แก่ทางกรมฯ เมื่อเดือน มี.ค.59 แต่ทางกรมฯ ยังไม่สามารถตรวจรับงานได้ เนื่องจากเป็นส่วนงานที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับการโอนย้ายข้อมูลกับงานในอีก 2 งวดที่เหลือ
แหล่งข่าวแจ้งว่า ในขณะที่การดำเนินโครงการของ บ.ซีดีจีฯ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแล้วเสร็จ แทนที่ทางกรมฯ จะพิจารณาบอกเลิกสัญญา ตามระเบียบพัสดุฯ แต่กลับมีการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาโดยมีการคำนวณจำนวนวันเพื่อคิดค่าปรับตามเงื่อนไขสัญญา และเห็นชอบให้คำนวณเวลาเฉพาะช่วงที่อยู่ในการดำเนินงานของ บ.ซีดีจีฯ และตัดช่วงวันที่อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯ ออก เพื่อลดค่าปรับให้แก่ทาง บ.ซีดีจีฯ จากเดิมที่คิดวันที่เกินระยะเวลาของสัญญาจาก 20 ก.ค.58 ถึง 15 มี.ค.59 รวม 240 วัน แต่ให้หักช่วงวันที่อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯออกหลายช่วง ซึ่งก็คือช่วงที่กรมฯรับมอบงานมาตรวจในแต่ละครั้ง ตรงนี้มีเจตนาให้พ้นจากหลักเกณฑ์บอกเลิกสัญญาตามระเบียบพัสดุฯ อย่างชัดเจน
ผู้สื่อข่าวแจ้งว่า ในรายงานการประชุมติดตามสถานการณ์ดำเนินโครงการ MDM เมื่อ 7 เม.ย.59 ได้ระบุว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบวิธีคิดช่วงวันที่อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯ เมื่องดลดค่าปรับให้แก่ บ.ซีดีจีฯ ดังนี้ 1. งานงวดที่ 3 นับจาก 17 ต.ค. 57 ถึง 20 พ.ย.57 คิดเป็น 35 วัน และ 2.งานงวดที่ 4 อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯ 6 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 นับจาก 23 ธ.ค.57 ถึง 14 พ.ค.58 คิดเป็น 143 วัน ช่วงที่ 2 นับจาก 25 ส.ค.58 ถึง 3 ก.ย.58 คิดเป็น 10 วัน ช่วงที่ 3 นับจาก 16 ก.ย.58 ถึง 28 ก.ย.58 คิดเป็น 13 วัน ช่วงที่ 4 นับจาก 16 ต.ค.58 ถึง 26 พ.ย.58 คิดเป็น 42 วัน ช่วงที่ 5 นับจาก 8 ม.ค.59 ถึง 25 ม.ค.59 คิดเป็น 18 วัน และช่วงที่ 6 นับจาก 16 ก.พ.59 ถึง 11 มี.ค.59 คิดเป็น 25 วัน รวมเฉพาะของงานงวดที่ 4 เท่ากับ 251 วัน
"จากการคิดคำนวณแบบนี้ก็จะเท่ากับว่า บ.ซีดีจีฯ ส่งมอบงานล่าช้าเพียงเล็กน้อย เพราะนับจากวันสิ้นสุดการขยายเวลาครั้งที่ 2 จนถึงตอนนี้ รวมแล้วมากกว่า 270 วัน แต่กรมฯ กลับให้หักวันที่อยู่ในการดำเนินการของกรมฯออกถึง 251 วัน ซึ่งย้อนไปตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา ทั้งที่เป็นคนละส่วนกัน เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็เท่ากับว่า กรมฯยอมเสียประโยชน์จากการดำเนินงานของเอกชนที่ล่าช้า ทั้งที่ระบบ MDMควรได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี 57 แล้ว เนื่องจากระบบเดิมที่ใช้อยู่ตอนนี้ล้าสมัย และมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ในขณะที่ข้อมูลของกรมฯ มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ที่สำคัญดูแนวโน้มจากการส่งมอบงานในส่วนที่มีปัญหาแล้ว ก็ใช่ว่าลดวันในการเสียค่าปรับแล้ว ทาง บ.ซีดีจีฯ จะสามารถทำงานส่วนนี้เสร็จสมบูรณ์ได้”สำหรับงานในงวดที่ 4 ซึ่งมีปัญหานั้น พบว่า เป็นงานที่เกี่ยวกับการสื่อสารภายในองค์กร การให้บริการแบบ e-service ระบบแผนที่ข้อมูล และการโอนย้ายข้อมูล เมื่อประเมินจากการส่งมอบงานในส่วนนี้ถึง 6 ครั้ง แต่คณะกรรมการยังไม่สามารถตรวจรับงานได้ จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ในช่วงการประกวดราคานั้น ทางฝ่ายการเมือง ได้เรียกรับผลประโยชน์มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในสมัยนั้น จนทำให้ บ.ซีดีจีฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ตามสเปกที่กำหนดไว้.
อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน บ.ซีดีจีฯ ยังไม่สามารถส่งมอบงานให้กับทางกรมฯได้ ตามระยะเวลาที่สัญญากำหนด โดย บ.ซีดีจีฯได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลา และได้รับอนุมัติจากทางกรมฯไป 2 ครั้ง โดยอ้างถึงอุปสรรคจากการสถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง ที่มีการปิดล้อมสำนักงานกรมฯ ทำให้ไม่สามารถเข้าสถานที่เพื่อปฏิบัติงานได้ รวมการขยายเวลา 2 ครั้ง ทั้งสิ้น 244 วัน สิ้นสุดการขยายสัญญา 19 ก.ค.58 แต่ที่สุดแล้ว บ.ซีดีจีฯ ก็ส่งมอบงานได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 พ.ย.58 กรมฯได้มีหนังสือแจ้งไปยังหัวหน้าส่วนพัสดุ และแผ่นป้ายทะเบียนรถ อ้างถึงการประชุมติดตามสถานการณ์ดำเนินโครงการ MDM เมื่อ 2 ก.ย.58 ซึ่งที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ได้ให้ความเห็นอ้างอิงระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ ข้อ 138 ระบุว่า “ในกรณีคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อตกลงได้ และจะต้องมีการปรับตามสัญญา หรือข้อตกลงนั้น หากจำนวนเงินค่าปรับเกินร้อยละ 10 ของวงเงินค่าพัสดุ หรือค่าจ้าง ให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการบอกเลิกสัญญา หรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะยินยอมเสียค่าปรับให้แก่ทางราชการ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ให้ส่วนราชการพิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น”
ต่อมา 16 พ.ย.58 บ.ซีดีจีฯ ได้ทำหนังสือแจ้งหัวหน้าส่วนพัสดุและแผ่นป้ายทะเบียนรถ เรื่องการเรียกค่าปรับตามสัญญา จากหนังสือกรมการขนส่งทางบก ที่ คค.0416.6 / 12752 ลงวันที่ 17 ส.ค.58 ได้แจ้งเรียกค่าปรับในอัตราวันละ 412,900 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดส่งมอบ ซึ่ง บ.ซีดีจีฯ ก็ยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ และขอให้พิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญา ซึ่งต่อมา มติที่ประชุมของกรมฯ เห็นควรผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญา โดยให้เหตุผลว่า บ.ซีดีจีฯ ยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงความมุ่งมั่นในการทำงานให้แล้วเสร็จ พร้อมกับให้บริษัทฯ ไปจัดทำแผนที่ชัดเจนเสนอให้กรมฯโดยเร็ว ภายใน 7 วัน
ทั้งนี้เมื่อคำนวณการเรียกค่าปรับ นับตั้งแต่ 19 ก.ค.58 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการขยายเวลา ครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบันประมาณ 9 เดือนเศษ หรือ มากกว่า 270 วัน หากคำนวณค่าปรับที่ บ.ซีดีจีฯ ต้องชำระให้แก่กรมฯ เป็นเงินมากถึง 111 ล้านบาทเศษ ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 10 ของวงเงินโครงการ หรือหากคำนวณในแง่ของระยะเวลาก็จะครบกำหนด 100 วัน ไปตั้งแต่ 27 ต.ค.58 ทั้งสองกรณีเข้าหลักเกณฑ์การบอกเลิกสัญญาได้ ตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ ข้อ 138
จากการตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการ MDM ซึ่งได้กำหนดการส่งมอบงานเป็น 7 งวด พบว่า บ.ซีดีจีฯ ได้มีการส่งมอบงานผ่านการตรวจรับ และเบิกจ่ายเงินไปแล้ว 4 งวด คิดเป็นเงิน 281 ล้านบาทเศษ ยังเหลืออีก 3 งวด ที่ได้มีความพยายามส่งมอบงาน แต่ไม่ผ่านการตรวจรับของคณะกรรมการ คิดเป็นเงิน 131 ล้านบาทเศษ โดยครั้งล่าสุด บ.ซีดีจีฯ ได้ส่งมอบงานเมื่อ 7 ม.ค.59 แต่ไม่ผ่านการตรวจรับของคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 25 ม.ค.59 ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการส่งงานและตรวจรับมาแล้วหลายครั้ง แต่ บ.ซีดีจีฯ ก็ยังไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขให้ครบถ้วนได้ตามขอบเขตของระบบ จากนั้น บ.ซีดีจีฯได้มีการส่งเอกสารแนวทางการปรับปรุงคุณภาพข้อมูลไปยังกรมฯ เมื่อ 15 ก.พ.59 และได้ดำเนินการแก้ไขจนแจ้งส่งงานจำนวน 1 งวด แก่ทางกรมฯ เมื่อเดือน มี.ค.59 แต่ทางกรมฯ ยังไม่สามารถตรวจรับงานได้ เนื่องจากเป็นส่วนงานที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับการโอนย้ายข้อมูลกับงานในอีก 2 งวดที่เหลือ
แหล่งข่าวแจ้งว่า ในขณะที่การดำเนินโครงการของ บ.ซีดีจีฯ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแล้วเสร็จ แทนที่ทางกรมฯ จะพิจารณาบอกเลิกสัญญา ตามระเบียบพัสดุฯ แต่กลับมีการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาโดยมีการคำนวณจำนวนวันเพื่อคิดค่าปรับตามเงื่อนไขสัญญา และเห็นชอบให้คำนวณเวลาเฉพาะช่วงที่อยู่ในการดำเนินงานของ บ.ซีดีจีฯ และตัดช่วงวันที่อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯ ออก เพื่อลดค่าปรับให้แก่ทาง บ.ซีดีจีฯ จากเดิมที่คิดวันที่เกินระยะเวลาของสัญญาจาก 20 ก.ค.58 ถึง 15 มี.ค.59 รวม 240 วัน แต่ให้หักช่วงวันที่อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯออกหลายช่วง ซึ่งก็คือช่วงที่กรมฯรับมอบงานมาตรวจในแต่ละครั้ง ตรงนี้มีเจตนาให้พ้นจากหลักเกณฑ์บอกเลิกสัญญาตามระเบียบพัสดุฯ อย่างชัดเจน
ผู้สื่อข่าวแจ้งว่า ในรายงานการประชุมติดตามสถานการณ์ดำเนินโครงการ MDM เมื่อ 7 เม.ย.59 ได้ระบุว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบวิธีคิดช่วงวันที่อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯ เมื่องดลดค่าปรับให้แก่ บ.ซีดีจีฯ ดังนี้ 1. งานงวดที่ 3 นับจาก 17 ต.ค. 57 ถึง 20 พ.ย.57 คิดเป็น 35 วัน และ 2.งานงวดที่ 4 อยู่ในการดำเนินงานของกรมฯ 6 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 นับจาก 23 ธ.ค.57 ถึง 14 พ.ค.58 คิดเป็น 143 วัน ช่วงที่ 2 นับจาก 25 ส.ค.58 ถึง 3 ก.ย.58 คิดเป็น 10 วัน ช่วงที่ 3 นับจาก 16 ก.ย.58 ถึง 28 ก.ย.58 คิดเป็น 13 วัน ช่วงที่ 4 นับจาก 16 ต.ค.58 ถึง 26 พ.ย.58 คิดเป็น 42 วัน ช่วงที่ 5 นับจาก 8 ม.ค.59 ถึง 25 ม.ค.59 คิดเป็น 18 วัน และช่วงที่ 6 นับจาก 16 ก.พ.59 ถึง 11 มี.ค.59 คิดเป็น 25 วัน รวมเฉพาะของงานงวดที่ 4 เท่ากับ 251 วัน
"จากการคิดคำนวณแบบนี้ก็จะเท่ากับว่า บ.ซีดีจีฯ ส่งมอบงานล่าช้าเพียงเล็กน้อย เพราะนับจากวันสิ้นสุดการขยายเวลาครั้งที่ 2 จนถึงตอนนี้ รวมแล้วมากกว่า 270 วัน แต่กรมฯ กลับให้หักวันที่อยู่ในการดำเนินการของกรมฯออกถึง 251 วัน ซึ่งย้อนไปตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา ทั้งที่เป็นคนละส่วนกัน เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็เท่ากับว่า กรมฯยอมเสียประโยชน์จากการดำเนินงานของเอกชนที่ล่าช้า ทั้งที่ระบบ MDMควรได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี 57 แล้ว เนื่องจากระบบเดิมที่ใช้อยู่ตอนนี้ล้าสมัย และมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ในขณะที่ข้อมูลของกรมฯ มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ที่สำคัญดูแนวโน้มจากการส่งมอบงานในส่วนที่มีปัญหาแล้ว ก็ใช่ว่าลดวันในการเสียค่าปรับแล้ว ทาง บ.ซีดีจีฯ จะสามารถทำงานส่วนนี้เสร็จสมบูรณ์ได้”สำหรับงานในงวดที่ 4 ซึ่งมีปัญหานั้น พบว่า เป็นงานที่เกี่ยวกับการสื่อสารภายในองค์กร การให้บริการแบบ e-service ระบบแผนที่ข้อมูล และการโอนย้ายข้อมูล เมื่อประเมินจากการส่งมอบงานในส่วนนี้ถึง 6 ครั้ง แต่คณะกรรมการยังไม่สามารถตรวจรับงานได้ จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ในช่วงการประกวดราคานั้น ทางฝ่ายการเมือง ได้เรียกรับผลประโยชน์มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในสมัยนั้น จนทำให้ บ.ซีดีจีฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ตามสเปกที่กำหนดไว้.