**เหมือนจะสงบจบลงแบบ“แฮปปี้เอ็นดิ้ง”ปัญหาขัดข้องใจระหว่าง"ผบ.แป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพใหญ่สีกากี ในฐานะผู้บริหารนโยบาย กับ "ผบช.แป๊ะ" พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาการ ผบช.น. และเหล่าผบช. หน่วยงานต่างๆ ในฐานะผู้รับปฏิบัติ อันสืบเนื่องจากบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับ“นายพัน”ตำแหน่ง สารวัตร (สว.) -รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) วาระประจำปี 2558 ไม่ลงตัว เพราะว่ากันว่า“ตั๋วนโยบาย”ถูกส่งลงมามากกว่า“เก้าอี้ว่าง”จนเกิดอาการ“แข็งข้อ” จุดกระแสลือ เก้าอี้โน้น เก้าอี้นี้ สั่นคลอน
เมื่อผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องต่างประสานเสียงคีย์เดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง"บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ผบ.จักรทิพย์ หรือ ผบช. ศานิตย์ ยืนยันการันตีไม่มีอะไรในกอไผ่ ไปต่อได้ทั้งสองคน ทุกอย่างจบลงด้วยการจับเข่าพูดคุย ตามประสาพี่ๆ น้องๆ ทำให้ปัญหาขัดข้องใจต่างๆ ก็คลี่คลาย
การแต่งตั้งตำรวจระดับ “นายพัน”ก็ดูเหมือนกำลังจะเริ่มเดินหน้าต่ออีกครั้ง เพียงแค่ห้วงเวลาอาจจะไม่ทันตามกำหนด ตามที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ขีดเส้นระยะเวลาการทำบัญชีแต่งตั้งตำแหน่ง ส.ว.-รอง ผบก. วาระประจำปี 2558 ไว้ไม่เกิน 30 เม.ย.59 คาดว่าน่าจะมีการขออนุมัติ ก.ตร. ขยายเวลาการแต่งตั้ง“นายพัน”ล็อตนี้ออกไปอีก1 ครั้ง ขอเวลา 1 เดือน หรือ ภายในวันที่ 31 พ.ค.59 ซึ่งทำกันจริงๆ ก็ไม่น่าจะเกิน 15 พ.ค. ทุกอย่างจะเรียบร้อย
แต่ดูเหมือนว่า การเดินหน้าแต่งตั้ง "นายพัน" ก็ยังไม่สะดวกโยธิน เพราะปัญหาคาราคาซังต่างๆ เหมือนจะถูกถอดรหัส ถูกปลดล็อก ไปแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น ปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง ยังถูกซุกใต้พรม รอวันเวลาส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ออกมา
อย่างปมการเยียวยาตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งคณะอนุ ก.ตร.กฎหมาย ที่มี พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน มีมติให้เยียวยาตำรวจที่ต้องเยียวยา เพราะคำสั่ง คสช.ที่ 6/2559 ไม่มีผลมาลบล้าง ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า ในการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 4/2559 ที่ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ผบช.สง.ก.ตร.) ในฐานะเลขานุการ ก.ตร.ทำหนังสือแจ้งเวียนเชิญ กรรมการก.ตร. ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 25เม.ย.59 เวลา 13.00 น. จะนำมติ อนุก.ตร.กฎหมาย มารายงานหรือไม่
โดยเท่าที่ตรวจวาระการประชุม ที่แจ้งเวียนเอาไว้ก็ยังไม่มีประเด็นเรื่อง มติอนุ ก.ตร กฎหมาย เกี่ยวกับความเห็นให้เยียวยาตำรวจกลุ่มดังกล่าว เข้ารายงานในการประชุมก.ตร..ครั้งนี้ ซึ่งดูท่าก็คงไม่มีการนำมติอนุ ก.ตร.กฎหมาย เข้ามารายงานก.ตร.แน่ เพราะถ้านำเข้ามา ในการแต่งตั้ง “นายพัน”ครั้งนี้ ก็ต้องแต่งตั้งให้ตำรวจกลุ่มนี้ด้วย ปัญหา"ตั๋ว"ล้น"เก้าอี้"ก็จะยิ่งเพิ่มปัญหามากขึ้น
แต่กระนั้นก็สุ่มเสี่ยง ที่ตำรวจกลุ่มที่ได้รับการเยียวยา แต่ไม่ได้รับการสานต่อมตินี้ให้สัมฤทธิ์ผล จะฟ้องร้อง ผบ. ตร. ความผิด ตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากกฎกำหนดให้ผู้ได้รับเยียวยา ต้องได้รับการแต่งตั้งกลับคืนตำแหน่งเดิมในโอกาสแรกของการแต่งตั้งทันที ผลการตัดสินจากอนุกรรมการ มีผลมาตั้งแต่ปลายปี 58 การแต่งตั้งครั้งนี้จะเลี่ยงไม่ได้ ที่อ้างว่าคำสั่งที่ 6 ของคสช. ก็ไม่มีผลลบล้างด้วย เพราะคำสั่งออกภายหลัง จะมีผลย้อนหลังในทางเป็นโทษไม่ได้ ถ้ายังดึงดันทำเป็นหูทวนลม อาจจะเจอคดีละเว้นฯ กันเป็นแถว
ส่วนปมปัญหาที่หมักหมม ยังไม่ได้รับการหยิบยกมาแก้ไข มาเยียวยา ก็ดูเหมือนว่าในการประชุม ก.ตร.ครั้งนี้ อาจจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น เมื่อมีข่าวลือกันสะพัดว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะขอความเห็นชอบจาก ก.ตร. ใช้มาตรา 56 ในการแต่งตั้งตำรวจระดับ สว.-รอง ผบก. วาระประจำปี 2558 โดยอ้างปัญหาลักลั่นบางตำแหน่ง บางกองบัญชาการ จนทำให้การแต่งตั้งไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้
ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น นั่นก็หมายความ “ผบ.ตร.”จะรวบอำนาจการทำบัญชีแต่งตั้งตำรวจระดับ “นายพัน”มาทำเอง โดยไม่ต้องให้ “ผบช.”เกี่ยวข้อง ในการแต่งตั้งตามกฎระเบียบ กติกา เหมือนที่เคยทำกันมา ส่วนรูปแบบการรวบอำนาจ ผบ.ตร. จะทำบัญชีทั้งหมดเอง หรือเลือกใช้อำนาจตาม มาตรา 56 เพียงแค่เอาพวกขึ้นข้ามหน่วย หยิบโยกพวกกลุ่ม 33% ที่ต้องได้รับการแต่งตั้งสูงขึ้นไปขึ้นหน่วยงานอื่นที่เก้าอี้เหลือ เพื่อเปิดตำแหน่งให้กับกองบัญชาการที่มี “ตั๋วลุ้น”แล้วที่เหลือก็ให้ “ผบช.”จัดทำบัญชีกันไปตามเดิม
จะเป็นวิธีไหน ชั่วโมงนี้เดาใจ “บิ๊กแป๊ะ”ลำบาก เพราะเงื่อนไขการมัดรวม หรือมัดแบ่งรุ่นพี่ๆ ที่เป็นผบช. ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพียงคนเดียว ยังมีปัจจัยจาก "ซุปเปอร์โจ๊ก" ที่ส่งสัญญาณมาด้วย เพราะ “ตั๋วนโยบาย”ล้นเก้าอี้ ถ้ามัดรวมทำเอง จะง่ายกว่าให้ ผบช. รับไปทำ ซึ่งต้องจัดสรรปันส่วนให้บ้าง ถ้าจะกินรวบหมด ก็อาจจะเกิดอาการ “แข็งข้อ”จาก ผบช. ที่เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ
อย่างไรก็ดี การที่ผบ.ตร. จะใช้ มาตรา 56 รวบอำนาจการแต่งตั้งมาไว้ในมือเอง จะด้วยวิธีไหน ไม่ว่าจะรวบหมด หรือแบ่งให้ ผบช. รุ่นพี่ๆ บ้าง ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญต้องจับตาดูว่า“กรรมการ ก.ตร.”จะยอมเล่นด้วยหรือไม่ เพราะในมาตรา 56 ที่มีการแก้ไขใหม่ในยุค คสช. เข้ามาบริหารประเทศ มีการเพิ่มเติมเนื้อหา เพิ่มเติมเงื่อนไขในการใช้มาตรานี้ไว้น่าสนใจเช่นกัน
มาตรา 56 ระบุว่า "ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นว่า การใช้อำนาจในการแต่งตั้งของผู้บัญชาการไม่เป็นธรรม หรือ มีกรณีไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ หรือวิธีการที่ก.ตร. กำหนดตาม มาตรา 57 หรือ มีกรณีที่จะต้องดำเนินการทางวินัยและมีความจำเป็นต้องให้ข้าราชการตำรวจ ซึ่งดำรงตำแหน่งตาม มาตรา 44 (5) หรือ รอง ผบช.ลงมา ให้พ้นจากพื้นที่ หรือหน้าที่ หรือมีเหตุพิเศษตามที่ ก.ตร. กำหนดให้ ผบ.ตร. มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ให้ดำรงตำแหน่งตาม มาตรา 44(5) ลงมา ให้ตามควรแก่กรณี การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตามวรรคหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 44(5)และ(6) ให้เสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน”
นั่นหากใช้ มาตรา 56 ก็แสดงว่า “ผบช.”ผู้ใช้อำนาจเดิม แต่งตั้งไม่เป็นธรรม หรือมีปัญหาจนไม่สามารถจัดการแต่งตั้งได้ “ผบช.”จะยอมรับข้อกล่าวหานี้ทั้งหมดทุกคนหรือไม่ รวมทั้งถ้าใช้อำนาจดังกล่าวโยกย้ายตำรวจไปตรงนั้น ตรงนี้ ถ้ามีการฟ้องร้องกันขึ้น“กรรมการ ก.ตร.” ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น“รอง ผบ.ตร.”ในตำแหน่ง จะยอมโดนฟ้องด้วยหรือไม่ ก็ในเมื่อเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง นั่นเอง เพราะตำรวจที่ย้ายไปย้ายมาส่วนใหญ่เป็น “ตั๋วนโยบาย”ไม่เกี่ยวกับ รอง ผบ.ตร. แล้ว รอง ผบ.ตร. จะเสี่ยงติดคุกตอนแก่หรือไม่ หรือบางรายยังมีลุ้นเป็น ผบ.ตร. ในอนาคต จะยอมมีชนักตรงนี้ติดหลังด้วยหรือ
**เป็นประเด็นร้อนๆ ในแวดวง"สีกากี" ณ ชั่วโมงนี้ ที่ห้ามกระพริบตา เพราะทุกหนทางที่ บิ๊กแป๊ะ เลือกก้าว ล้วนสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น .
เมื่อผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องต่างประสานเสียงคีย์เดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง"บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ผบ.จักรทิพย์ หรือ ผบช. ศานิตย์ ยืนยันการันตีไม่มีอะไรในกอไผ่ ไปต่อได้ทั้งสองคน ทุกอย่างจบลงด้วยการจับเข่าพูดคุย ตามประสาพี่ๆ น้องๆ ทำให้ปัญหาขัดข้องใจต่างๆ ก็คลี่คลาย
การแต่งตั้งตำรวจระดับ “นายพัน”ก็ดูเหมือนกำลังจะเริ่มเดินหน้าต่ออีกครั้ง เพียงแค่ห้วงเวลาอาจจะไม่ทันตามกำหนด ตามที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ขีดเส้นระยะเวลาการทำบัญชีแต่งตั้งตำแหน่ง ส.ว.-รอง ผบก. วาระประจำปี 2558 ไว้ไม่เกิน 30 เม.ย.59 คาดว่าน่าจะมีการขออนุมัติ ก.ตร. ขยายเวลาการแต่งตั้ง“นายพัน”ล็อตนี้ออกไปอีก1 ครั้ง ขอเวลา 1 เดือน หรือ ภายในวันที่ 31 พ.ค.59 ซึ่งทำกันจริงๆ ก็ไม่น่าจะเกิน 15 พ.ค. ทุกอย่างจะเรียบร้อย
แต่ดูเหมือนว่า การเดินหน้าแต่งตั้ง "นายพัน" ก็ยังไม่สะดวกโยธิน เพราะปัญหาคาราคาซังต่างๆ เหมือนจะถูกถอดรหัส ถูกปลดล็อก ไปแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น ปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง ยังถูกซุกใต้พรม รอวันเวลาส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ออกมา
อย่างปมการเยียวยาตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งคณะอนุ ก.ตร.กฎหมาย ที่มี พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน มีมติให้เยียวยาตำรวจที่ต้องเยียวยา เพราะคำสั่ง คสช.ที่ 6/2559 ไม่มีผลมาลบล้าง ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า ในการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 4/2559 ที่ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ผบช.สง.ก.ตร.) ในฐานะเลขานุการ ก.ตร.ทำหนังสือแจ้งเวียนเชิญ กรรมการก.ตร. ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 25เม.ย.59 เวลา 13.00 น. จะนำมติ อนุก.ตร.กฎหมาย มารายงานหรือไม่
โดยเท่าที่ตรวจวาระการประชุม ที่แจ้งเวียนเอาไว้ก็ยังไม่มีประเด็นเรื่อง มติอนุ ก.ตร กฎหมาย เกี่ยวกับความเห็นให้เยียวยาตำรวจกลุ่มดังกล่าว เข้ารายงานในการประชุมก.ตร..ครั้งนี้ ซึ่งดูท่าก็คงไม่มีการนำมติอนุ ก.ตร.กฎหมาย เข้ามารายงานก.ตร.แน่ เพราะถ้านำเข้ามา ในการแต่งตั้ง “นายพัน”ครั้งนี้ ก็ต้องแต่งตั้งให้ตำรวจกลุ่มนี้ด้วย ปัญหา"ตั๋ว"ล้น"เก้าอี้"ก็จะยิ่งเพิ่มปัญหามากขึ้น
แต่กระนั้นก็สุ่มเสี่ยง ที่ตำรวจกลุ่มที่ได้รับการเยียวยา แต่ไม่ได้รับการสานต่อมตินี้ให้สัมฤทธิ์ผล จะฟ้องร้อง ผบ. ตร. ความผิด ตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากกฎกำหนดให้ผู้ได้รับเยียวยา ต้องได้รับการแต่งตั้งกลับคืนตำแหน่งเดิมในโอกาสแรกของการแต่งตั้งทันที ผลการตัดสินจากอนุกรรมการ มีผลมาตั้งแต่ปลายปี 58 การแต่งตั้งครั้งนี้จะเลี่ยงไม่ได้ ที่อ้างว่าคำสั่งที่ 6 ของคสช. ก็ไม่มีผลลบล้างด้วย เพราะคำสั่งออกภายหลัง จะมีผลย้อนหลังในทางเป็นโทษไม่ได้ ถ้ายังดึงดันทำเป็นหูทวนลม อาจจะเจอคดีละเว้นฯ กันเป็นแถว
ส่วนปมปัญหาที่หมักหมม ยังไม่ได้รับการหยิบยกมาแก้ไข มาเยียวยา ก็ดูเหมือนว่าในการประชุม ก.ตร.ครั้งนี้ อาจจะมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น เมื่อมีข่าวลือกันสะพัดว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะขอความเห็นชอบจาก ก.ตร. ใช้มาตรา 56 ในการแต่งตั้งตำรวจระดับ สว.-รอง ผบก. วาระประจำปี 2558 โดยอ้างปัญหาลักลั่นบางตำแหน่ง บางกองบัญชาการ จนทำให้การแต่งตั้งไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้
ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น นั่นก็หมายความ “ผบ.ตร.”จะรวบอำนาจการทำบัญชีแต่งตั้งตำรวจระดับ “นายพัน”มาทำเอง โดยไม่ต้องให้ “ผบช.”เกี่ยวข้อง ในการแต่งตั้งตามกฎระเบียบ กติกา เหมือนที่เคยทำกันมา ส่วนรูปแบบการรวบอำนาจ ผบ.ตร. จะทำบัญชีทั้งหมดเอง หรือเลือกใช้อำนาจตาม มาตรา 56 เพียงแค่เอาพวกขึ้นข้ามหน่วย หยิบโยกพวกกลุ่ม 33% ที่ต้องได้รับการแต่งตั้งสูงขึ้นไปขึ้นหน่วยงานอื่นที่เก้าอี้เหลือ เพื่อเปิดตำแหน่งให้กับกองบัญชาการที่มี “ตั๋วลุ้น”แล้วที่เหลือก็ให้ “ผบช.”จัดทำบัญชีกันไปตามเดิม
จะเป็นวิธีไหน ชั่วโมงนี้เดาใจ “บิ๊กแป๊ะ”ลำบาก เพราะเงื่อนไขการมัดรวม หรือมัดแบ่งรุ่นพี่ๆ ที่เป็นผบช. ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เพียงคนเดียว ยังมีปัจจัยจาก "ซุปเปอร์โจ๊ก" ที่ส่งสัญญาณมาด้วย เพราะ “ตั๋วนโยบาย”ล้นเก้าอี้ ถ้ามัดรวมทำเอง จะง่ายกว่าให้ ผบช. รับไปทำ ซึ่งต้องจัดสรรปันส่วนให้บ้าง ถ้าจะกินรวบหมด ก็อาจจะเกิดอาการ “แข็งข้อ”จาก ผบช. ที่เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ
อย่างไรก็ดี การที่ผบ.ตร. จะใช้ มาตรา 56 รวบอำนาจการแต่งตั้งมาไว้ในมือเอง จะด้วยวิธีไหน ไม่ว่าจะรวบหมด หรือแบ่งให้ ผบช. รุ่นพี่ๆ บ้าง ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญต้องจับตาดูว่า“กรรมการ ก.ตร.”จะยอมเล่นด้วยหรือไม่ เพราะในมาตรา 56 ที่มีการแก้ไขใหม่ในยุค คสช. เข้ามาบริหารประเทศ มีการเพิ่มเติมเนื้อหา เพิ่มเติมเงื่อนไขในการใช้มาตรานี้ไว้น่าสนใจเช่นกัน
มาตรา 56 ระบุว่า "ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นว่า การใช้อำนาจในการแต่งตั้งของผู้บัญชาการไม่เป็นธรรม หรือ มีกรณีไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ หรือวิธีการที่ก.ตร. กำหนดตาม มาตรา 57 หรือ มีกรณีที่จะต้องดำเนินการทางวินัยและมีความจำเป็นต้องให้ข้าราชการตำรวจ ซึ่งดำรงตำแหน่งตาม มาตรา 44 (5) หรือ รอง ผบช.ลงมา ให้พ้นจากพื้นที่ หรือหน้าที่ หรือมีเหตุพิเศษตามที่ ก.ตร. กำหนดให้ ผบ.ตร. มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ให้ดำรงตำแหน่งตาม มาตรา 44(5) ลงมา ให้ตามควรแก่กรณี การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตามวรรคหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 44(5)และ(6) ให้เสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน”
นั่นหากใช้ มาตรา 56 ก็แสดงว่า “ผบช.”ผู้ใช้อำนาจเดิม แต่งตั้งไม่เป็นธรรม หรือมีปัญหาจนไม่สามารถจัดการแต่งตั้งได้ “ผบช.”จะยอมรับข้อกล่าวหานี้ทั้งหมดทุกคนหรือไม่ รวมทั้งถ้าใช้อำนาจดังกล่าวโยกย้ายตำรวจไปตรงนั้น ตรงนี้ ถ้ามีการฟ้องร้องกันขึ้น“กรรมการ ก.ตร.” ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น“รอง ผบ.ตร.”ในตำแหน่ง จะยอมโดนฟ้องด้วยหรือไม่ ก็ในเมื่อเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง นั่นเอง เพราะตำรวจที่ย้ายไปย้ายมาส่วนใหญ่เป็น “ตั๋วนโยบาย”ไม่เกี่ยวกับ รอง ผบ.ตร. แล้ว รอง ผบ.ตร. จะเสี่ยงติดคุกตอนแก่หรือไม่ หรือบางรายยังมีลุ้นเป็น ผบ.ตร. ในอนาคต จะยอมมีชนักตรงนี้ติดหลังด้วยหรือ
**เป็นประเด็นร้อนๆ ในแวดวง"สีกากี" ณ ชั่วโมงนี้ ที่ห้ามกระพริบตา เพราะทุกหนทางที่ บิ๊กแป๊ะ เลือกก้าว ล้วนสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น .