xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใครๆ ก็ทำกัน “วงษ์สุวรรณ-จันทร์โอชา” เดอะซีรีส์ ภาค 1 ตอน “บิ๊กติ๊ก” เซ็นตั้ง “ลูกชาย” เป็นทหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถ้า “นายปฏิพัทธ์” ว่าที่ร้อยตรีทหารบก ตำแหน่ง “นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน” สังกัดกองทัพภาคที่ 3 ไม่ได้มีนามสกุล “จันทร์โอชา” ก็คงจะไม่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอึงมี่ไปทั้งแผ่นดินเช่นนี้

แถมหนักไปกว่านั้นก็คือ นายปฏิพัทธ์คนนี้ไม่ใช่นามสกุลจันทร์โอชาระดับห่างๆ อีกต่างหาก แต่เป็นนายปฏิพัทธ์ซึ่งเป็น “ลูกชาย” ของ “พ่อติ๊ก-พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา” ปลัดกระทรวงกลาโหม และเป็น “หลานชาย” ของ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา
แน่นอน นี่ไม่ใช่ปัญหาว่า “ถูก” หรือ “ผิด” ไม่ใช่ปัญหาว่า “ทำได้” หรือ “ทำไม่ได้” เพราะ “ใครๆ เขาก็ทำกัน” อย่างที่ พล.อ.ปรีชาให้เหตุผล เพราะ “เรื่องแบบนี้เขาทำกันทุกปี เขาก็แต่งตั้งกันทุกปี ไม่ใช่เพิ่งมาทำปีนี้ให้น้อง ให้หลานเสียเมื่อไหร่” อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถาม

แต่นี่คือปัญหาเชิง “จริยธรรม” ซึ่งถือเป็น “จุดขายสำคัญของ คสช.” ในการทำรัฐประหาร เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อปฏิรูปประเทศและสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับสังคมไทย

และถ้า “ใครๆ เขาก็ทำกันจริง” ต่อไปถ้าหากมีใคร หรือมีนักการเมืองคนใด ทำบ้างก็จะได้เลิกวิพากษ์วิจารณ์กันเสียที เนื่องจากมีบรรทัดฐานเอาไว้แล้วว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน”

นี่ไม่นับรวมถึงคำถามที่ไม่ว่าจะชี้แจงแถลงไขอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้สังคมไทยที่ไม่ใช่ “ติ่ง” แบบไม่ลืมหูลืมตายอมรับได้ก็คือ หาก “ตาสีตาสา” อยากจะติดดาวให้กับลูกชายบ้าง จะต้องทำอย่างไรถึงจะได้ประสบความสำเร็จเหมือนกับพ่อที่ชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา บ้าง

เหตุผลหรือข้ออ้างที่ว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน” กำลังจะกลายเป็นความชอบธรรมของสังคมไทยเช่นนั้นหรือ

และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ คงต้องบรรจุคำว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน” ให้เป็น “ค่านิยมประการที่ 13” ที่รัฐบาลของนายกฯ ลุงตู่อาจจะต้องประกาศและรณรงค์เผยแพร่เพิ่มเติมเสียแล้วกระมัง!!!!!
นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา
ค่านิยมใหม่ : ใครๆ เขาก็ทำกัน

แม้จะดำเนินการในทาง “ลับ” (ซึ่งก็ไม่ทราบได้ว่าทำไมต้องลับ ทั้งๆ ที่ควรเป็นเรื่องที่ต้องกระทำอย่างเปิดเผยและโปร่งใส) ตามเอกสารของทางราชการ แต่ในที่สุดกรณีกระทรวงกลาโหมอนุมัติบรรจุ นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชายคนที่ 2 ของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม และนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา อดีตผู้จัดการสาขา ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนนเรศวร พิษณุโลก เข้ารับราชการในตำแหน่ง รรก.นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน ทภ.3 (อัตรา พ.ต.) รับเงินเดือน ระดับ น.1 ชั้น 18 (15,000 บาท) และแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี (เหล่า สบ.) ก็ “หลุด” ออกมาสู่สายตาของสาธารณชน พร้อมๆ กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมาอย่างหนักหน่วงและรุนแรง

รุนแรงชนิดที่กล่าวได้ว่า สั่นสะเทือนอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กันเลยทีเดียว เพราะงานนี้ปรากฏชื่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม พ่อของนายปฏิพัทธ์และน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ เซ็นกำกับอวดสายตาประชาชีชนิดที่ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า งานนี้ “พ่อเซ็นรับลูกเข้ารับราชการทหารด้วยตัวเอง” กันเลยทีเดียว

หนักไปกว่านั้นก็คือ พลเอกปรีชา ยืนยันด้วยการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราอีกต่างหากว่า “ลูกชายจบปริญญาตรีมา ก็ต้องทำงาน เมื่อมีตำแหน่งว่าง ก็ให้เข้ามาทำงาน ซึ่งก็มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกชายพี่คนเดียวที่ทำแบบนี้ได้”

รวมทั้งตอกย้ำในการให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาด้วยท่วงทำนองเดียวกัน ว่า “ที่ผ่านมาก็มีลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้ารับราชการเป็นนายทหารเมื่อมีตำแหน่งว่างเป็นจำนวนมาก”

หรือแปลไทยเป็นไทยก็คือ “ใครๆ เขาก็ทำกัน” ไม่ใช่เฉพาะลูกชายของ พล.อ.ปรีชาเท่านั้น
หนังสือแต่งตั้งนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา เข้ารับราชการทหาร ซึ่งลงนามโดย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้เป็นพ่อ
ขณะเดียวกันการที่เอกสาร “ลับ” ฉบับนี้หลุดออกมา ย่อมสะท้อนให้เห็นถึง “ความจริง” ในกองทัพภายใต้การบริหารของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมิได้เป็นเอกภาพแต่อย่างใด และยังคงมี “คลื่นใต้น้ำ” ที่พร้อมจะเล่นงาน “ป๋าป้อม” และ “เพื่อนพ้องน้องพี่แห่งบูรพาพยัคฆ์” อยู่ตลอดเวลา

ไม่เช่นนั้นตัว พล.อ.ปรีชา คงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเองว่า “ผมก็ได้แต่สงสัยว่าเป็นใครที่ปล่อยเอกสารออกมา และทำเพราะหวังผลอะไรหรือไม่ ประกอบกับผมนามสกุลจันทร์โอชา เวลาทำอะไร จึงทำให้โดนเพ่งเล็งอยู่บ่อย ๆ” อย่างแน่นอน

จากการตรวจสอบข้อมูลจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ปรีชาทำให้ได้รับรู้ถึงที่มาและที่ไปของการอยากให้ลูกชายรับราชการทหารว่า เป็นผลมาจากการที่ตัวบิ๊กติ๊กเองทราบว่า กองทัพภาคที่ 3 มีตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือนว่าง ประกอบกับบุตรชายของตนเองจบนิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน ซึ่งตรงกับตำแหน่งที่มีอยู่พอดี จึงให้บรรจุเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้

คำถามก็คือ ถ้าไม่ใช่ลูกชายบิ๊กติ๊กจะรู้ได้อย่างไรว่ามีตำแหน่งนี้ว่างอยู่ที่กองทัพภาคที่ 3 ?

คำถามก็คือ ถ้าไม่ใช่ลูกชายบิ๊กติ๊กจะเปิดรับเป็นการเฉพาะเช่นนี้โดยไม่มีการเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาสมัครและสอบแข่งขันหรือไม่?

คำถามก็คือ ลูกชายบิ๊กติ๊กเป็นเพียงบุคคลคนเดียวที่มีคุณสมบัติพิเศษตรงกับตำแหน่งที่ว่างเช่นนั้นหรือ?

นี่เป็นคำถามที่ตาสียายสา นางมาป้าเมี้ยนอยากรู้เสียยิ่งกระไร

ทั้งนี้ โดยปกติแล้วการบรรจุบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในอัตราต่างๆ ของกองทัพ มีวิธีการดำเนินการอยู่ 3 วิธี หรือ 3 รูปแบบ คือ

1.เลื่อนฐานะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเลื่อนฐานะจากทหารชั้นประทวนเป็นชั้นสัญญาบัตร มักเปิดสอบกันเองภายในหน่วย เพื่อรองรับข้าราชการทหารชั้นประทวนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือสาขาที่ตรงกับความต้องการของหน่วย หรือตรงกับคุณสมบัติตามอัตราตำแหน่งที่ว่าง

2.การรับบุคคลพลเรือนจากภายนอกเข้าเป็นทหาร มีทั้งชั้นประทวนและสัญญาบัตร วิธีการคือเปิดสอบเป็นการทั่วไป โดยให้แต่ละหน่วยที่ต้องการกำลังพลหรือมีอัตราว่างในตำแหน่งต่างๆ เสนอความต้องการไปที่หน่วยต้นสังกัด เช่น หน่วยของกองทัพบก ก็เสนอไปยังกองบัญชาการกองทัพบก, หน่วยของกองทัพไทย ก็เสนอไปยังกองบัญชาการกองทัพไทย เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อขออนุมัติเปิดสอบ ซึ่งอาจเปิดเฉพาะหน่วย หรือเปิดรับพร้อมๆ กับหน่วยอื่นที่มีความต้องการอัตรากำลังในห้วงเวลาเดียวกัน

3.การรับบุคคลพลเรือนเข้าเป็นทหารในสาขาวิชาเฉพาะ หรือผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษตามที่หน่วยต้องการ โดยมากเป็นสาขาวิชาหายากหรือที่กองทัพขาดแคลน หรือเป็นไปตามนโยบายของกองทัพ เช่น บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านภาษาจีน, นักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่ขาดแคลน เป็นต้น

โดยวิธีการจะเป็นการรับวิธีพิเศษ ไม่มีเปิดสอบเป็นการทั่วไป แต่จะคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ แล้วบรรจุเข้ารับราชการโดยการอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ เช่น ปลัดกระทรวงกลาโหม

และวิธีการที่ 3 นี้นี่เองที่เปิดช่อง ให้บรรดาลูกหลานของผู้ใหญ่ในกองทัพเข้ารับราชการได้โดยไม่ผ่านการสอบตามกระบวนการปกติ ซึ่งมีมาทุกยุคทุกสมัย และถือเป็นวัฒนธรรมของกองทัพที่ปฏิบัติกันมานานจนเป็นที่รับรู้กันดี

พล.อ.ประวิตรในฐานะผู้มีอำนาจโดยตรงให้รายละเอียดของเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดแจ้งในท่วงทำนองเดียวกับ พล.อ.ปรีชา “เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นอำนาจของผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยจะรับใครทำงานได้ทันทีทันใด เพราะบางตำแหน่งดังกล่าวของกองทัพขาดแคลนอยู่ อีกทั้งเป็นสาขาพิเศษที่ผมมีอำนาจในการรับบุคคลได้ หากมีคุณสมบัติครบ เช่น จบปริญญาตรี รับการตรวจสุขภาพเรียบร้อยและไม่มีคดีความติดตัวก็สามารถรับเข้าเป็นทหารได้เลย ซึ่งบางตำแหน่งไม่จำเป็นต้องมีการสอบแข่งขันนอกจากจะมีคนมาสมัครตำแหน่งดังกล่าวจำนวนมากก็จะต้องเปิดสอบ ซึ่งเรื่องพวกนี้บางครั้งต้องร้องขอ เพราบางทีเขาไม่อยากจะมา บางคนไม่อยากเข้า โดยเฉพาะพวกที่มีคุณสมบัติพิเศษของแต่ละบุคคล”

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า “พูดกันให้ชัด วันนี้ลูกหลานกำลังพลเขาก็มีการบรรจุเข้ามา ก็ถือเป็นลูกหลาน มีความไว้เนื้อเชื่อใจส่วนหนึ่ง เพราะอย่างไรก็ชินกับระบบวินัย พ่อแม่เป็นทหาร ก็มีข้อพิจารณาตรงนี้ด้วย ถ้ามาจากพลเรือนล้วนๆ ก็ต้องมีระบบคัดกรองเรื่องความมั่นคง รักษาความปลอดภัย ขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง แล้วก็มีการคัดแยก ทั้งในเรื่องการสอบต่างๆ แล้วพวกคุณไม่ไว้วางใจผมหรืออย่างไรเล่า ทหารมีกี่เหล่า กี่หน่วย วันนี้ผมชี้แจงเฉยๆ ไม่ได้ไปตอบโต้หรือแก้ตัวแทนน้องหรือหลานผม แต่ชี้แจงว่าระเบียบมันเป็นอย่างไร และใช้กันมาอย่างไร เรื่องนี้ใช้กันมานานแล้ว ก็ไม่รู้สิ ขี้เกียจตอบ ไม่รู้จะตอบอย่างไร”

ฟังจากปากของ ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตรและลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำให้ได้บทสรุปซึ่งไม่ต้องพิสูจน์ว่า “นี่เป็นเรื่องธรรมดา” จริงๆ และเป็นเรื่องที่ “ปกติใครๆ เขาก็ทำกัน” จริงๆ อย่างไม่มีข้อสงสัย และระเบียบของกระทรวงกลาโหมก็เปิดช่องให้ดำเนินการได้

ทว่า ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยที่เข้ายื่นหนังสือถึง .ป.ป.ช.และผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีการตรวจสอบเพราะเห็นว่า อาจจะเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่เพราะเป็นการอนุมัติให้ลูกชายเข้าเป็นนายทหารด้วยตัวเอง

“เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 หรือไม่ และขัดกับ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ประกอบกับระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยประมวลจริยธรรม พ.ศ.2551 ให้ยึดถือปฏิบัติตามค่านิยมหลักของมาตรฐานจริยธรรมอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้นยังขัดต่อข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและกรรมาธิการ พ.ศ.2558 ในข้อ 25 สมาชิกจะต้องไม่แสวงหาประโยชน์โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่และไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน”.

“การกระทำของ พล.อ.ปรีชา นอกจากจะขัดต่อระเบียบและกฎหมายแล้ว ยังเข้าข่ายเป็นการกระทำอันขัดหรือแย้งต่อเจตนารมณ์ของ คสช. และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 คสช.ยึดอำนาจจากนักการเมืองเพราะเกิดการประพฤติมิชอบจนนำไปสู่ความขัดแย้ง ดังนั้น คสช.ก็ไม่ควรจะทำซ้ำรอยนักการเมือง ไม่ควรว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง และขอเรียกร้องให้นายปฏิพัทธ์ลาออกจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นและลดกระแสสังคม รวมทั้งตัวของ พล.อ.ปรีชาก็ต้องออกมาขอโทษสังคมกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย”นายศรีสุวรรณ แจกแจง
ข้อความในเฟซบุ๊กของนายปฏิพัทธ์ที่ระบุว่า ไม่ได้อยากเป็นทหารเหมือนอย่างที่ผู้เป็นพ่อต้องการ
 
 
ถามหามาตรฐาน “ลูกพระยาพหลฯ” กับ “ลูกปลัดกลาโหม”

ฉับพลันที่ “เอกสารลับ” เรื่องการเข้ารับราชการทหารของนายปฏิพัทธ์ ซึ่งลงนามโดย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้เป็นพ่อหลุดออกมา การตรวจสอบข้อมูลว่า มีลูกหลานนายทหารคนอื่นๆ อีกบ้างหรือไม่ที่เป็นทหารอยู่ในเวลานี้ก็เกิดขึ้น เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ระเบียบของกระทรวงกลาโหม “เปิดช่อง” ให้ทำได้

และแน่นอนพบว่า มีจำนวนไม่น้อย เพียงแต่ยังไม่เคยปรากฏกว่ามีกรณีใดที่พ่อเซ็นรับลูกเหมือนกับกรณี พล.อ.ปรีชาเท่านั้น เหมือนดังที่พล.อ.ประยุทธ์ก็เอ่ยปากเสียงดังๆ ว่า “จริงๆ ไอ้นี่มันก็ซื่อ จริงๆ ไม่ควรเซ็นด้วยซ้ำ ไป” ก่อนที่จะอธิบายเพิ่มเติมว่า “แต่มันก็ไม่ได้ จะให้คนอื่นเซ็นไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย”

ยกตัวอย่างเช่น ร.ต.หญิงจุฑาภัค สีตบุตร ลูกสาวของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีตผู้บัญชาการทหารบก หลังจากจบการศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็สมัครรับราชการเข้าเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนที่กรมยุทธศึกษาทหารบก

ร.ท.หญิง นันทณัทธ์ จันทร์สุวานิชย์ ลูกสาว พล.ร.อ.ไกรสรณ์ จันทร์สุวานิชย์ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ รับราชการอยู่ที่แผนกวิเทศสัมพันธ์ กองการต่างประเทศ กรมข่าวทหารเรือ

ร.ท.หญิง ฐานิสรา ปฏิมาประกร ลูกสาวของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด รับราชการเป็นนายทหารล่าม แผนกล่ามต่างประเทศ กรมการข่าวทหาร สังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.) กองบัญชาการกองทัพไทย

กระนั้นก็ดี สำหรับกรณีของ “ป้อง-ปฏิพัทธ์” นั้นมีคำถามเกิดขึ้นตามมามากมายหลังเอกสารลับหลุดว่า นี้เขาเรียนอะไร สาขาไหน ประกอบอาชีพการอันใดมาก่อน และโดยแท้ที่จริงแล้วเขาอยากเป็นทหารจริงๆ หรือไม่

หรือเป็นเพียงความต้องการของผู้เป็นพ่อ เพราะถ้าหากดูบุคลิก การแต่งกาย ทรงผม และการใส่ “ตุ้มหู” ด้วยแล้ว ก็ไม่น่าจะนิยมชมชอบในอาชีพนี้เท่าใดนัก

ป้อง-ปฏิพัทธ์ ปัจจุบันอายุ 25 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีนิเทศศาสตรบัณฑิต (สื่อสารมวลชน) มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยก่อนหน้านี้ทำงานเป็นผู้ช่วยฝ่ายสื่อสารองค์กร (Assistant Communications Officer) บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ PTTEP หรือที่เราๆ ท่านๆ คุ้นกันในชื่อ “ปตท.สผ.”สำนักงาน S1 แหล่งน้ำมันสิริกิติ์ อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร โดยมีพี่ชายคือ นายปฐมพล จันทร์โอชา หรือกบ อายุ 37 ปี จบการศึกษาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก่อนหน้านี้เป็นนักวิชาการประมง สถาบันวิจัยอาหารสัตว์น้ำจืด กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปัจจุบันประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว รับเหมาก่อสร้าง

ย้ำอีกครั้ง ป้อง-ปฏิพัทธ์เคยทำงานที่ ปตท.สผ.ในตำแหน่ง ผู้ช่วยฝ่ายสื่อสารองค์กร ซึ่งต้องถือว่า เป็นตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาและมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานค่อนข้างสูง แต่เขาก็ทำงานร่วมกับ ปตท.สผ. ได้ 3 เดือนก็ลาออก ก่อนที่จะปรากฏเป็นข่าวเรื่องการเข้ารับราชการทหารในตำแหน่ง “นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน” สังกัดกองทัพภาคที่ 3
 

คำถามก็คือ ทำไมเขาถึงลาออกจาก ปตท.สผ. ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่คนไทยใฝ่ฝันว่าจะอยากจะร่วมงานด้วย

เป็นไปอย่างที่ พล.อ.ปรีชาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เดิมลูกชายไม่ได้อยากเป็นทหาร แต่เพราะเป็นว่า ทำงานที่ ปตท.ไม่มั่นคง เพราะเป็นลูกจ้างเฉยๆ จึงอยากให้เป็นทหาร” จริงหรือ

การทำงานที่ ปตท.สผ.ไม่มั่นคงจริงหรือ?

ถ้า ปตท.สผ.ไม่มั่นคงแล้ว จะมีบริษัทไหนในประเทศนี้มั่นคงอีก

จากการตรวจสอบข้อมูลในเฟซบุ๊กของ “ป้อง-ปฏิพัทธ์” ทำให้เห็นอีกแง่มุมความคิดของเขาว่า จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากเป็นทหารสักเท่าไหร่เมื่อเขาโพสต์ข้อความในทำนองว่า “สรุปจะให้...เป็นทหารจริงๆ ใช่ไม๊” รวมทั้งข้อความอื่นๆ ในทำนองนี้หลายต่อหลายครั้ง ทว่า นั่นเป็นเรื่องดรามาภายในครอบครัว และเรื่องส่วนตัวที่สังคมไม่อาจก้าวล่วงได้

กระนั้นก็ดี เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับ “ป้อง-ปฏิพัทธ์” เพราะอยู่ๆ ผู้เป็นพ่อก็ทำให้ “ดาวมฤตยู” มาเยือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวและถูกผู้คนขุดคุ้ยและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและกำลังถูกหยิบโยงมาขยายความเปรียบเทียบกับ กรณีของนายปฏิพัทธ์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นก็คือเรื่องราวที่ถูกตั้งชื่อเอาไว้ว่า “ทายาทพระยาพหลฯ ผู้ที่ไม่ยอมเข้าโรงเรียนนายร้อยด้วยวิธีพิเศษ” ซึ่งถูกเผยแพร่และถูกแชร์ในโลกโซเชียลเป็นจำนวนมาก

เป็น พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายทหาร นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ที่ดำรงตำแหน่งถึง 5 สมัย และอดีตผู้บัญชาการทหารบก

กล่าวโดยสรุปก็คือ เป็นเรื่องราว “พ.ต.พุทธินารถ พหลพลพยุหเสนา” ลูกชายคนที่ 4 ของพระยาพหลฯ ซึ่งไม่สามารถสอบเข้า “โรงเรียนนายร้อย” ได้ และปฏิเสธการเข้าโรงเรียนนายร้อยโดยพิธีพิเศษแม้จะสามารถทำได้ด้วยอำนาจและบารมีของผู้เป็นพ่อ ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะเข้าเรียนใน “โรงเรียนนายสิบยานเกราะ” แทน กระทั่งสุดท้ายเกษียณราชการด้วยยศแค่ “พันตรี” เท่านั้น

ที่สำคัญคือ “แม่” ของ พ.ต.พุทธินารถก็มิได้บังคับให้ลูกชายเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยตามที่ทางทหารนำเสนอเสียด้วยซ้ำไป

นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมเห็นว่า เรื่องที่ “ใครๆ เขาก็ทำกัน” แต่ถ้าเรา “ไม่ทำ” ก็สามารถ “ทำได้” เช่นกัน ถ้า “มีความกล้าเพียงพอ” ที่จะ “ไม่ทำ” แม้จะมีโอกาสและช่องทางที่สามารถ “ทำได้” ก็ตาม

และแน่นอนว่า เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับกรณีของ “ป้อง-ปฏิพัทธ์” ย่อมทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลทหารมีปัญหาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่ได้มีปัญหาในระดับธรรมดา หากแต่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องและหนักขึ้นเป็นลำดับ เพราะจะมีนายร้อยสักกี่คนในประเทศนี้ที่เข้ารับราชการโดยมีพ่อเป็นคนเซ็นอนุมัติด้วยตัวเอง จนแทบไม่มีใครกล้าเถียงหรือออกรับแทนลุงตู่ เว้นแต่พวก “ติ่งลุงตู่” ที่มีตรรกะอันวิบัติเท่านั้น

ยิ่งเมื่อนำมาเชื่อมโยงกับ “เรื่องการขายที่ดิน 9 แปลงเนื้อที่ 50-3-08 ไร่ วงเงิน 600 ล้านบาท” ให้แก่ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศไทย และ “เงินฝากในสหกรณ์ออมทรัพย์ของกองทัพภาคที่ 3 ที่มีการกรอกตัวเลขไม่ตรงกัน” ดังที่เคยปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว บอกคำเดียวว่า มีอานุภาพรุนแรงเสียยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวของ “เสี่ยไก่-วัฒนา เมืองสุข” เสียด้วยซ้ำไป

โดยเฉพาะกรณีการยื่นบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ปรีชาที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ช่วงเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อเดือน ต.ค. 2557 ซึ่งมีการกรอกตัวเลขเงินฝากไม่ตรงกันในหน้าหลัก และในรายละเอียดนั้น แม้ว่า ป.ป.ช.จะออกมายืนยันว่ายื่นบัญชีทรัพย์สินถูกต้อง แต่สังคมก็ยังไม่สิ้นข้อสงสัย เพราะสำนักข่าวอิศรายังคงสืบสวนและตั้งประเด็นคำถามถึงกรณีที่มีเงินไหลเข้าออกในบัญชีของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา คู่สมรส ในช่วงปี 2557 หลายสิบล้านบาท ทั้งที่ พล.อ.ปรีชา ระบุว่า นางผ่องพรรณ ไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียว รวมถึงไม่ได้ประกอบธุรกิจอะไรอีกต่างหาก

โปรดฟังอีกครั้ง ไม่ใช่เฉพาะ “ระบอบทักษิณและคนเสื้อแดง” เท่านั้นที่กำลังตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ “กองเชียร์ของลุงตู่” เองก็เริ่มจะรับไม่ได้กับคำว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน” ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วสามารถ “ไม่ทำ” อย่างที่ “ใครๆ เขาทำกัน” ก็ได้

และเมื่อมาผสมกับเรื่องที่ร้อนไม่แพ้กันอย่างการที่ “ป.ป.ช.” ภายใต้การนำทัพของ “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ แบะท่าจะถอนฟ้อง “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ซึ่งเป็นน้องชายของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในคดีสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “คดี 7 ตุลา” งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ "โหมด้วยแล้ว ..ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่

นี่ถ้าไม่ได้กระแส “น้องเมย์-รัชนก อินทนนท์” มาช่วย บอกได้เลยว่า สถานการณ์จะยิ่งลุกลามไปกันใหญ่

ระวังจะ “เอาไม่อยู่” เด้อเจ้านายยยยยยย
กำลังโหลดความคิดเห็น