xs
xsm
sm
md
lg

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ระวังเรื่องฉาว ศรัทธาติดลบ- คสช.หัวทิ่ม !!

เผยแพร่:

**แน่นอนว่าหากนับนิ้วพิจารณากันตามตารางเวลาก็ต้องบอกว่าเข้าใกล้เวลานับถอยหลังกันเต็มที ทั้งในเรื่องของการลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฉบับปี 2559 ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ หากผ่านก็จะนำไปสู่การเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่ ขณะเดียวกัน นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการนับถอยหลังของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากพิจารณากันตามคำพูดของ ระดับหัวหน้าทีมที่นอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองหัวหน้าคสช.และดูแลงานด้านความมั่นคงทั้งหมด
ส่วนหลังจากนี้ จะมีการ"แปลงสภาพ" จากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไปเป็นรูปแบบอื่น คอยกำกับดูแลภายใต้องค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าติดตามทั้งสิ้น โดยเฉพาะการจับตาองค์กรทางนิติบัญญัติ ผ่านทางวุฒิสภา หรือ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในช่วงที่ "อ้างว่าเปลี่ยนผ่าน" ในเวลา 5 ปี
ถ้าพิจารณาตามเวลา บทบาท และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ก็ต้องบอกว่ามันช่าง "ซับซ้อนซ่อนเงื่อน" และฉวยจังหวะสอดแทรกสร้างอำนาจในช่วงที่ นักการเมือง หรือ "นักเลือกตั้ง" กำลังเสื่อมทรุด ถูกรังเกียจแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
**กลายเป็นว่า "เผด็จการ"ไม่ถูกปฏิเสธ หากยังรู้จักบริหารอำนาจได้อย่างเหมาะสม ไม่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนแบบยุคเก่า ก็คงประคองไปได้อีกพักใหญ่ สังเกตได้จากบุคลิกของผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังสามารถรักษาความศรัทธาจากมหาชนอยู่ในระดับที่สูง แม้ว่าจะลดลงจากเดิม แต่ก็ถือว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะสร้างความสั่นสะเทือนต่อตำแหน่งของเขา รวมถึงสถานะขององค์กร ไม่ใม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
อย่างไรก็ดี เรื่องแบบนี้ก็ไม่อาจประมาทหรือดูเบาเป็นอันขาด เพราะการเมืองไทยบางครั้งบทจะพลิกคว่ำก็สามารถเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะ"ความศรัทธา" ทั้งในตัวของผู้นำ รวมไปถึงคณะของผู้นำ ต้องระวังบางเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึกของชาวบ้าน ดังตัวอย่างที่กำลังจะถูกขยายออกไป จากรายงานข่าวกรณีการใช้อำนาจหน้าที่ของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม บรรจุลูกชายเข้ารับราชการทหาร ในชั้นยศว่าที่ร้อยตรี ยิ่งได้ยินคำให้สัมภาษณ์ในแบบทำนองว่า "เขามีสิทธิ์ทำแบบนี้ได้ เมื่อมีตำแหน่งว่าง และคนอื่นก็ทำแบบนี้เหมือนกัน"
ความหมาย ก็คือ "เส้นสาย" แบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก คนอื่นเขาก็ทำกัน ซึ่งในความเป็นจริงมันก็คงใช่ และเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายในกองทัพอย่างที่พูดจริงๆ แต่บังเอิญว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ดันไปเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่เป็นถึงปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
** ที่สำคัญ นี่เป็นยุคของ"การสื่อสาร" เป็น"ยุคปฏิรูป" แต่ความหมายที่สื่อให้เห็นกลับสวนทาง ทำให้มองเห็นว่า "นี่คือการใช้อภิสิทธิ์" เหนือคนอื่น ไม่ใช่การแข่งขันที่เป็นธรรม หากพิจารณากันตามหลักการ กองทัพ หรือหน่วยงานในกองทัพ ไม่ใช่บริษัทส่วนตัว มันก็ย่อมทำให้คนในสังคมคิดมากเหมือนกัน ดังนั้น ยังเชื่อว่าด้วยกระแสที่ตื่นตัวของสังคมที่น่าจะมีการชี้แจงให้เคลียร์มากกว่านี้
อีกกรณีหนึ่งที่กำลังเป็นที่จับตาของสังคม และเสี่ยงต่อการทำลายศรัทธาให้ติดลบ รวมไปถึงเสี่ยงต่อการต่อต้านอย่างขนานใหญ่ หากข่าวคราว และความเคลื่อนไหวที่ว่านั้นเป็นจริง จากข่าวกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในยุคที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน เตรียมเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเฉพาะคดีทุจริตประพฤติมิชอบของนักการเมือง ส่วนคดีที่เกี่ยวกับความผิดของข้าราชการ จะให้หน่วยงานอื่นดำเนินการ โดยอ้างว่า ทำให้การตรวจสอบทำด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ทำให้คดีไม่ต้องมาสุมอยู่ที่ป.ป.ช. มากเกินไป
อย่างไรก็ดี ในยุคของ"การตื่นตัว" และยุคที่ชาวบ้านไม่น้อยผ่านประสบการณ์ ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างโชกโชน กลับมองไปอีกแบบ คือมองออกว่า นี่คือ "แผนช่วยเหลือพวกขาใหญ่" พูดให้กระชับแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ เป็นการเดินเกมช่วยเหลือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ น้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกมองว่าเป็นแผนเพื่อให้น้องชาย "พ้นมลทิน" จากคดีที่ ป.ป.ช.ในชุดที่แล้ว ฟ้องคดีอาญาจากความผิดการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของประธาน ป.ป.ช. คนปัจจุบันคือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารรัชกิจ ก็ถือว่าเคยเป็น "ลูกน้องเก่า" ทั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่สำคัญการเข้ามาของ พล.ต.อ.วัชรพล ในตำแหน่งประธานป.ป.ช. ครั้งนี้ ซึ่งมีวาระยาวถึง 9 ปี อยู่ภายใต้การผลักดันของ "พี่ใหญ่" คนนี้
ส่วนจะมี "ภารกิจสำคัญ" บางอย่างหรือไม่ เป็นเรื่องที่ชวนติดตาม แต่เมื่อมีข่าวความเคลื่อนไหวดังกล่าวออกมา ทำให้สังคมเริ่มระแวง และที่สำคัญ องค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จะเข้มแข็งได้ก็ต้องบ่อเกิดด้วยความศรัทธา ความเชื่อมั่น ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำหน้าที่ได้ดี และสั่งสมความศรัทธาเพิ่มมากขึ้นจนกลายมาเป็นองค์กรระดับแถวหน้า ดังนั้นหวังว่าทุกฝ่ายจะต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสไร้ความเคลือบแคลง เพราะทั้งสองเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องใหญ่ สามารถสั่นคลอนความศรัทธา กระทบไปถึงรัฐบาลและ คสช.ได้ตลอดเวลา
** เพราะหากบานปลายทุกอย่างก็อาจพลิกผันชั่วข้ามคืน !!
กำลังโหลดความคิดเห็น