ผู้จัดการรายวัน 360 - ศาลสั่งจำคุก 12 ปี “ป๋าชื่น” กรรมการบริษัท เขาใหญ่ เบเวอร์ลี่ฮิลล์ หมิ่นเบื้องสูง อ้างออกโฉนดทับซ้อนที่ทหาร
วานนี้ (5 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ ที่ อ.1716/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายบุญธรรม หรือป๋าชื่น บุญเทพประทาน อายุ 66 ปี กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท บ้านชุมทอง จำกัด และบริษัท เขาใหญ่ เบเวอร์ลี่ฮิลล์ จำกัด เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 11
โดยศาลได้เบิกตัวนายบุญธรรม หรือป๋าชื่น มาจากเรือนจำเพื่อฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้ว เห็นว่าโจทก์มีพนักงานสอบสวน 4 นายซึ่งเป็นชุดพนักงานสอบสวนที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เมื่อปี 2558 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนกว่า 30 นาย เพื่อสืบสวนสอบสวนหลักฐานทางคดี เบิกความสอดคล้องกันถึงคำให้การของนายเสฏฐวุฒิ ผู้ต้องหา ซึ่งให้การว่าช่วงปี 2550-2551 ได้รับประสานให้รวบรวมที่ดินที่อำเภอปากช่องและได้รับเงินเดือนๆ ละ 20,000 บาทจากจำเลย โดยจำเลยอ้างกับนายเสฏฐวุฒิ ว่าหากมีปัญหาดำเนินการให้มาบอกเพราะรู้จักกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์
นอกจากนี้ยังมีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินปากช่อง เบิกความว่าครั้งแรกนายเสฏฐวุฒิมาขอออกโฉนดที่ดินเพื่อจะทำโรงแรมแต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นภูเขาสูง มีความชันเกินกว่า 35 องศา และเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ทหารซึ่งไม่สามารถออกโฉนดได้ ภายหลังนายเสฏฐวุฒิได้ดำเนินการอีกโดยระบุว่าจำโฉนดที่ดินไปถวาย นอกจากนี้ยังมีนายก อบต.อีกปากเบิกความว่าเมื่อปลายปี 2550 มีการมาขอให้พยานรับรองออกโฉนดที่ดิน ซึ่งพยานแจ้งว่าการออกโฉนดไม่สามารถดำเนินการได้ โดยคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวก็เป็นลำดับขั้นตอนและสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวนอีกทั้งพยานดังกล่าวไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงรับฟังได้ว่าคำเบิกความของพยานเป็นไปตามหน้าที่
พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์ในการออกโฉนดที่ดิน ซึ่งได้มีการกล่าวอ้างถึงองค์รัชทายาท ทำให้ถูกดูหมิ่นและเสื่อมเสียพระเกียรติยศ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวม 2 กระทงๆ ละ 8 ปี รวม 16 ปี ทางนำสืบจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีเห็นควรลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 6 ปี รวม 12 ปี
ภายหลังฟังคำพิพากษานายบุญธรรม หรือป๋าชื่น ก็ได้พูดคุยกับบุตรชายและญาติซึ่งมีการหารือว่าจำนำคำพิพากษาไปปรึกษาทีมทนายว่าจะมีการอุทธรณ์คดีต่อหรือไม่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้นำตัวนายบุญธรรมไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
สำหรับนายเสฏฐวุฒิ หรือตั๊ก เพ็งดิษฐ์ อายุ 52 ปี อาชีพนายหน้าค้าที่ดิน เป็นน้องชายนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อัยการฝ่ายคดีอาญา 9 ได้ยื่นฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานเดียวกัน ศาลจึงมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2558 ว่านายเสฏฐวุฒิกระทำผิดจริง ตามมาตรา 112 ให้จำคุก 5 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษกึ่งหนึ่ง จึงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
วานนี้ (5 เม.ย.) ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ ที่ อ.1716/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายบุญธรรม หรือป๋าชื่น บุญเทพประทาน อายุ 66 ปี กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท บ้านชุมทอง จำกัด และบริษัท เขาใหญ่ เบเวอร์ลี่ฮิลล์ จำกัด เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 11
โดยศาลได้เบิกตัวนายบุญธรรม หรือป๋าชื่น มาจากเรือนจำเพื่อฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้ว เห็นว่าโจทก์มีพนักงานสอบสวน 4 นายซึ่งเป็นชุดพนักงานสอบสวนที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เมื่อปี 2558 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนกว่า 30 นาย เพื่อสืบสวนสอบสวนหลักฐานทางคดี เบิกความสอดคล้องกันถึงคำให้การของนายเสฏฐวุฒิ ผู้ต้องหา ซึ่งให้การว่าช่วงปี 2550-2551 ได้รับประสานให้รวบรวมที่ดินที่อำเภอปากช่องและได้รับเงินเดือนๆ ละ 20,000 บาทจากจำเลย โดยจำเลยอ้างกับนายเสฏฐวุฒิ ว่าหากมีปัญหาดำเนินการให้มาบอกเพราะรู้จักกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์
นอกจากนี้ยังมีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินปากช่อง เบิกความว่าครั้งแรกนายเสฏฐวุฒิมาขอออกโฉนดที่ดินเพื่อจะทำโรงแรมแต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นภูเขาสูง มีความชันเกินกว่า 35 องศา และเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ทหารซึ่งไม่สามารถออกโฉนดได้ ภายหลังนายเสฏฐวุฒิได้ดำเนินการอีกโดยระบุว่าจำโฉนดที่ดินไปถวาย นอกจากนี้ยังมีนายก อบต.อีกปากเบิกความว่าเมื่อปลายปี 2550 มีการมาขอให้พยานรับรองออกโฉนดที่ดิน ซึ่งพยานแจ้งว่าการออกโฉนดไม่สามารถดำเนินการได้ โดยคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวก็เป็นลำดับขั้นตอนและสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวนอีกทั้งพยานดังกล่าวไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงรับฟังได้ว่าคำเบิกความของพยานเป็นไปตามหน้าที่
พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์ในการออกโฉนดที่ดิน ซึ่งได้มีการกล่าวอ้างถึงองค์รัชทายาท ทำให้ถูกดูหมิ่นและเสื่อมเสียพระเกียรติยศ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวม 2 กระทงๆ ละ 8 ปี รวม 16 ปี ทางนำสืบจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีเห็นควรลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 6 ปี รวม 12 ปี
ภายหลังฟังคำพิพากษานายบุญธรรม หรือป๋าชื่น ก็ได้พูดคุยกับบุตรชายและญาติซึ่งมีการหารือว่าจำนำคำพิพากษาไปปรึกษาทีมทนายว่าจะมีการอุทธรณ์คดีต่อหรือไม่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้นำตัวนายบุญธรรมไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
สำหรับนายเสฏฐวุฒิ หรือตั๊ก เพ็งดิษฐ์ อายุ 52 ปี อาชีพนายหน้าค้าที่ดิน เป็นน้องชายนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อัยการฝ่ายคดีอาญา 9 ได้ยื่นฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานเดียวกัน ศาลจึงมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2558 ว่านายเสฏฐวุฒิกระทำผิดจริง ตามมาตรา 112 ให้จำคุก 5 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษกึ่งหนึ่ง จึงจำคุก 2 ปี 6 เดือน