ศาลสั่งจำคุก 5 ปี น้องชาย “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อดีตอธิบดีดีเอสไอ แอบอ้างเบื้องสูงกว้านซื้อที่ดินใน จ.นครราชสีมา แต่รับสารภาพลดโทษเหลือติดคุก 2 ปีครึ่ง ขณะที่ “ป๋าชื่น โคลอนเซ่” ยืนกรานปฏิเสธ สู้คดี
ที่ห้องเวรชี้ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.45 น.วันนี้ (14 พ.ค.) ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.1666/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายเสฏฐวุฒิ หรือติ๊ก เพ็งดิษฐ์ อายุ 52 ปี อาชีพนายหน้าค้าที่ดิน น้องชายนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และนายบุญธรรม หรือ “ป๋าชื่น โคลอนเซ่” บุญเทพประทาน อายุ 65 ปี นักธุรกิจด้านที่ดิน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2558 ระบุว่า เมื่อระหว่างปี พ.ศ. 2550-2551 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดต่อเนื่องกัน ที่ดินบริเวณเขาหนองเชื่อม ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีบางส่วนที่สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชัน บางส่วนเป็นเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับที่ดินที่ทางฝ่ายทหารมีหนังสือขอใช้พื้นที่อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2534 และบางส่วนเป็นพื้นที่ที่คณะกรรมการจัดสรรดินแห่งชาติกันไว้เพื่อใช้เป็นพื้นที่ทดแทนพื้นที่ต้นน้ำซึ่งไม่สามารถออกเป็นโฉนดที่ดินได้ ต่อมานายบุญธรรม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของ และกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท บ้านชุมทอง จำกัด และบริษัท เขาใหญ่ เบเวอร์ลี่ฮิลล์ จำกัด ประกอบธุรกิจจัดสรร และค้าขายที่ดิน มีความประสงค์ที่จะนำที่ดินบริเวณดังกล่าวมาขอออกโฉนดที่ดินเพื่อจัดสรรจำหน่ายให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินไปปลูกบ้านพักตากอากาศในราคาสูงเพื่อทำกำไรได้มากๆ โดยจำเลยที่ 2 ได้ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 ให้ไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินบริเวณดังกล่าวเนื้อที่หลายร้อยไร่ ซึ่งจำเลยที่ 2 พูดกับจำเลยที่ 1 บางตอนว่า จำเลยที่ 2 มีความสนิทสนมกับ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีต รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของอดีตหม่อมศรีรัศมิ์ (ขณะเกิดเหตุ) หากจำเลยที่ 1 มีปัญหา หรืออุปสรรคในขั้นตอนใดๆ ในการขอออกโฉนดที่ดินให้บอกจำเลยที่ 2 ได้ทันที ทั้งนี้ ถ้อยคำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นการแอบอ้าง จาบจ้วง ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เพื่อให้ตนเองสมประโยชน์
โดยศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองฟังแล้วสอบถามว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า นายเสฏฐวุฒิ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนนายบุญธรรม จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธและต่อสู้คดี
ศาลจึงพิพากษาเฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1 ว่ากระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 5 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้ 2 ปี 6 เดือน ส่วนนายบุญธรรม จำเลยที่ 2 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว และให้พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีนายบุญธรรมเข้ามาใหม่ภายใน 7 วันตามกฎหมาย