ริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
สร้างความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มีแนวคิด เปิดหลักสูตรปรับทัศนคตินักการเมือง และจัดโควตาไว้สำหรับสื่อมวลชนเข้าอบรมด้วย
ชื่อหลักสูตรยังไม่ถูกกำหนดแน่ชัด แต่เป้าหมายวางไว้แล้ว โดยจะเป็นการปรับทัศนคติทางการเมือง ธรรมาภิบาล ศิลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม
ฝ่ายความมั่นคงอยู่ระหว่างการกำหนดรายละเอียดของหลักสูตรอยู่ และคงเสร็จสิ้นในเร็วๆนี้ โดยเป็นหลักสูตรสุดพิเศษ เพราะผู้ได้รับเลือกเข้ารับการอมรม ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ถือเป็นอภินันทนาการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จัดให้
เงื่อนเวลาในการอบรมยังไม่แน่นอน มีตั้งแต่ 3 วัน 5 วัน 7 วัน 15 วันหรือ30 วัน ซึ่ง ไม่รู้ ช่วงเวลาของหลักสูตร จะกำหนดตามปัญญาของผู้รับการอมรมหรือเปล่า
ใครหัวอ่อน ปรับทัศนคติได้เร็ว อาจไม่ต้องอบรมนาน ใครหัวแข็ง ไม่ยอมเปลี่ยนทัศนคติ อาจจะต้องอยู่ยาว หรือต้องเรียนซ้ำในรอบสองอีกก็ได้
ส่วนการอบรม จะมีลักษณะเช้าไปเย็นกลับ หรือตั้งแบบนักเรียนประจำ กินนอนที่โรงเรียน ยังไม่มีข้อมูล
หลักสูตรใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะเป็นผลพวงจาก มาตรการเชิญนักการเมืองปากมาก นักการเมืองจอมโวยวาย และนักการเมืองที่วนเวียนก่อความวุ่นวาย สร้างความรำคาญใจให้ คสช.มาปรับทัศนคติ แต่ปรับเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล จึงคิดตั้งหลักสูตรเฉพาะกิจขึ้นมา
เพียงแต่นักการเมืองกลุ่มเป้าหมายในหลักสูตร จะหลากหลายจากพรรคการเมือง ไม่หมายหัวเฉพาะสมาชิกพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ส่วนสื่อมวลชน อาจถือเป็นโควตาพิเศษ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นการเข้าร่วมอบรมด้วยความสมัครใจเพียงเงื่อนไขเดียว หรือถูกเกณฑ์เข้าไป
ฟังจาก พล.อ.ประยุทธ์แล้ว หลักสูตรที่อุตสาห์ปลีกเวลาคิดมาครั้งนี้ เหมือนการจำลองเวทีปรองดองขึ้น ผสมผสานกับมาตรการเรียกตัวนักการเมืองปรับทัศนคติ เพราะจัดให้นักการเมืองที่อยู่คนละขั้วเข้าอบรมร่วมกัน เพื่อละลายพฤติกรรม
แต่นักการเมืองกลุ่มไหนจะสนใจเข้าร่วมอบรม เพราะหลักการไม่มีความน่าสนใจมากนัก ยิ่งกำหนดให้ต้องอบรมอย่างนักเรียนกินนอน ไม่ต้องกลับบ้านกลับช่อง คงหาคนสมัครใจยากหน่อย
พล.อ.ประยุทธ์จะทำอย่างไร เพื่อให้มีนักเรียนในหลักสูตร จะใช้อำนาจ คสช.บังคับคงจะได้แค่ นักการเมืองหน้าเดิมๆ ที่เคยถูก คสช.เรียกตัวมาปรับทัศนคติไม่กี่คน เช่นนายวัฒนา เมืองสุข นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวรชัย เหมะ
แต่นักการเมืองสังกัดพรรคการเมืองอื่น ใครอยากจะเรียนหลักสูตรของพล.อ.ประยุทธ์ ใครจะยินดียอมเสียเวลาเข้ามานั่งถูกทหารอบรม และถ้าไม่มา จะใช้กฎหมายบังคับกันได้หรือไม่
ถ้านักการเมืองที่เข้าอบรมไม่มีความหลากหลาย มีแต่พรรคเพื่อไทย มีแต่ลูกสมุนนายทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องจัดหลักสูตรพิเศษให้เสียเวลา เพราะเรียกตัวมาปรับทัศนคติก็พอแล้ว ไม่ต้องเดือดร้อนใคร
การจับนักการเมืองมาล้างสมอง เพื่อปรับทัศนคติใหม่ ให้เลิกเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ ไม่คิดแต่กอบโกยผลประโยชน์และตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง ไม่สร้างภาพ ไม่เห็นแก่พวกพ้อง ไม่เห็นแก่รุ่นพี่รุ่นน้อง ทุกคนสนับสนุนแน่
เพียงแต่ไม่แน่ใจว่า หลักสูตรของพล.อ.ประยุทธ์ จะสลายพฤติกรรมนักการเมืองได้เท่านั้น
หัวข้อที่ถูกกำหนดไว้เคร่าๆในหลักสูตรนั้น เป็นหัวข้อที่ดี ไม่ว่าประเด็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ธรรมาภิบาล ศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม แต่ใครล่ะ จะมาเป็นวิทยากร อมรมนักการเมือง
ใครล่ะจะเป็นบุคคลต้นแบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี ใครคือผู้ที่สังคมยกย่องว่ายึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ศิลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม
คนที่จะสอนผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องเคยประสบความสำเร็จมาก่อน จะสอนการบริหารบ้านเมืองได้ ต้องแก้ปัญหาบ้านเมืองสำเร็จมาแล้ว แต่ดูเหมือนประเทศไทย ยังไม่เคยมีใครบริหารประเทศจนอยู่ในจนสงบเรียบร้อยได้
ถ้าไม่มีบุคคลเป็นต้นแบบที่ดีของการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่มีบุคคลที่ประชาชนยอมรับอย่างสนิทใจว่าเป็นคนมีศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรมมาเป็นอาจารย์สอน นักการเมืองจะฟังกันหรือ
3 หลักสูตรของพล.อ.ประยุทธ์มีการบ้านเยอะจริงๆ และยิ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พุ่งไปที่นักการเมืองพ่วงไปด้วยสื่อมวลชน ยิ่งต้องจัดหลักสูตรให้ “เนียน” เป็นพิเศษ
เพราะไม่เคยมีใครปรับทัศนคตินักการเมืองได้ นอกจาก “เงิน” คสช.เรียกนักการเมืองมาหลายคนแล้วไม่ใช่หรือ บางคนถูกเรียกไปตั้งหลายครั้ง แต่เปลี่ยนทัศนคติได้หรือไม่
ส่วนสื่อมวลชน ไม่เคยมีประวัติว่า จะยอมรับผู้นำประเทศคนใด ตราบที่ยังไม่สร้างผลงานอย่างเป็นรูปธรรม เว้นแต่สื่อมวลชนที่ขายวิญญาณให้ “ทักษิณ” เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลักสูตรปรับทัศนคตินักการเมือง ยังอยู่ในขั้น การนำแนวคิดมาพูดเท่านั้น ซึ่งอาจไม่ถูกนำมาปฏิบัติจริงก็ได้ เช่นเดียวกับอีกหลายๆเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้แค่คิดและพูด แต่ไม่ได้ลงมือทำให้เป็นจริง
หลักสูตรล้างสมองนักการเมือง อาจเป็นเพียงเรื่องขู่กันเล่นก็ได้ อย่าเครียดไปเลย