ผู้จัดการรายวัน 360 - ตร.เพิ่งตื่น!! บุก รพ.แจ้งข้อหา “หนุ่มซิ่งเบนซ์” ขับรถประมาทชน 2 น.ศ.ป.โทดับ พร้อมสอบปากคำครั้งแรกในไอซียู ลั่นหลักฐานแน่นเอาผิดได้แน่ ย้ำผู้ต้องหาไร้กลิ่นแอลกอฮอล์วันเกิดเหตุ ด้าน “พ่อหนุ่มเบนซ์” ยันสั่งย้าย รพ.เอง พร้อมรับผิดชอบ ระบุลูกชายจำเหตุการณ์ไม่ได้ ต้องให้แพทย์เช็กสมอง “พงศพัศ” เผยสั่งโอนคดีให้ บก.ภ.อยุธยาทำแทน “โลกโซเชี่ยล” พลิก กม.ตบหน้า ตร. ชี้มีอำนาจตรวจแอลกอฮอล์ ถ้าปฏิเสธถือว่าเมา เผย “ในหลวง” โปรดเกล้าฯพระราชทานเพลิงศพ 2 เหยื่อเป็นกรณีพิเศษ
วานนี้ (17 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่โรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท กทม. พ.ต.ท.สมศักดิ์ พลพันขาง รองผู้กำกับ (ผกก.) สอบสวน สถานีตำรวจภูธร (สภ.) พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา เดินทางเข้าแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต่อ นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ผู้ก่อเหตุขับขี่รถเมอร์ซิเดสเบนซ์ ป้ายทะเบียน ษง-3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนรถ 2 นักศึกษาปริญญาโทจนเสียชีวิตบน ถ.พหลโยธิน กิโลเมตรที่ 53 บริเวณทางแยกต่างระดับบางปะอิน เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา
พ.ต.ท.สมศักดิ์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาแจ้งข้อหากับนายเจนภพ ในเบื้องต้นจะแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และจะทำการสอบปากคำนายเจนภพในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีเป็นครั้งแรก ส่วนการสอบปากคำพยานในเหตุการณ์มีความคืบหน้าไปมากแล้ว นอกจากนี้ยังได้ประสานผู้ที่โพสต์คลิปเหตุการณ์เข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบคลิปเหตุการณ์สามารถยืนยันในพฤติการณ์ของผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจน รวมทั้งมีพยานหลักฐานแน่นหนาในการเอาผิดผู้ก่อเหตุ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางตำรวจได้เดินทางมาพบผู้ก่อเหตุตั้งแต่วันที่เกิดเหตุที่ รพ.บางปะอินแล้ว แต่เนื่องจากยังอยู่ในห้องไอซียู ทำให้ไม่สามารถสอบปากคำได้ ทั้งนี้จะมีการสอบปากคำในรายละเอียดต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย
** ตร.ย้ำผู้ต้องหาไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์
ต่อมา พ.ต.ท.สมศักดิ์ เปิดเผยภายหลังสอบปากคำนายเจนภพนานกว่า 3 ชม.ว่า ผู้ต้องหามีสติดีและได้ให้การรับสารภาพว่าขับรถโดยประมาทจริง หลังจากนี้ตำรวเตรียมตรวจสอบย้อนหลังว่า ผู้ต้องหาเคยก่อเหตุชนแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง เบื้องต้นจากการสอบถามญาติยอมรับว่าผู้ต้องหาเคยขับรถจนเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้มาก่อน ส่วนประเด็นที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจวัดปริมาณแอลกฮอล์ในเลือดหลังเกิดอุบัติเหตุนั้น เนื่องจากผู้ต้องหาอยู่ในอาการบาดเจ็บ การไม่ให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ก็เป็นสิทธิ์ แต่ยืนยันว่าหลังเกิดเหตุตำรวจไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอร์ในตัวผู้ต้องหา
“ที่สังคมสงสัยว่าผู้ก่อเหตุจะมีแอลกอฮอลล์หรือไม่นั้น ยืนยันว่าวันที่เกิดเหตุผู้ต้องหาไม่มีกลิ่นแอลกอฮอลล์แต่อย่างใด” พ.ต.ท.สมศักดิ์ ระบุ
ส่วนกรณีพบยาแก้โรคซึมเศร้าของสถาบันจิตเวชศาสตร์ สมเด็จเจ้าสามพระยา เป็นชื่อของ นายเจนภพ ภายในรถคันเกิดเหตุ จะมีผลต่อคดีหรือไม่นั้น พ.ต.ท.สมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ ขอไปตรวจสอบรายละเอียดให้แน่ชัดก่อน โดยต้องไปสอบถามแพทย์ที่รักษาตามประวัติว่า ยาดังกล่าวมีผลต่อการขับรถหรือไม่ หรือระหว่างขับรถรับประทานยาไปแล้วจะมีผลอย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่าตำรวจไม่รู้สึกกดดันการทำคดีนี้ หลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
** “พ่อตีนผี” ออกตัวสั่งย้าย รพ.เอง
ด้าน นายเจษฎา วีรพร บิดาของผู้ขับรถเบนซ์ เปิดเผยว่า วันแรกหลังจากเกิดเหตุ ตนอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เมื่อทราบข่าวจึงรีบเดินทางกลับมาทันที โดยให้เพื่อนเข้าไปพบกับญาติผู้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลก่อน สาเหตุที่ไม่ได้ไปด้วยตนเอง เนื่องจากต้องดูแลนายเจนภพที่บาดเจ็บที่ห้องไอซียู และตนเป็นคนสั่งให้ย้ายโรงพยาบาลด่วน เพราะบุตรชายของตนเป็นคนไข้ที่ รพ.สมิติเวช และเป็นห่วงเรื่องเครื่องมือที่จะรักษา เพราะยังไม่ทราบว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ตนยังได้เดินทางไปร่วมสวดพระอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตในคืนแรก รวมถึงขอขมากับญาติของผู้เสียชีวิตด้วย ซึ่งในวันดังกล่าวมีโอกาสพูดคุยกันในเบื้องต้น ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังฝากความเป็นห่วงถึงบุตรชายของตนด้วย
“เห็นคลิปแล้วก็ตกใจ เพราะชนขนาดนี้อาการก็น่าจะรุนแรง คนเป็นพ่อเพื่อความปลอดภัยของลูก ก็ต้องให้เขาย้ายโรงพยาบาล ที่บอกว่าเขาเป็นคนมีสติบอกให้ย้ายเอง เรื่องนี้ไม่ใช่ พ่อเป็นคนสั่งให้ย้ายเอง” นายเจษฎา ระบุ
** อ้างสมองกระเทือนจำเหตุการณ์ไม่ได้
นายเจษฎา เปิดเผยถึงอาการของนายเจนภพด้วยว่า ยังมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ซึ่งอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัด รวมทั้งทีมแพทย์กำลังตรวจเช็คสมองว่า มีอาการผิดปกติร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากลูกชายจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ โดยส่วนตัวคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะพูดคุยในเรื่องของคดีความ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างยังมีความเสียใจอยู่ ซึ่งภายหลังจากนี้จะมีการพูดคุยเพื่อให้มีความชัดเจนเพิ่มขึ้น
นายเจษฎา ยังได้กล่าวถึงกระแสในสังคมออนไลน์ด้วยว่า บางข้อมูลก็ไม่เป็นความจริง เช่น รถยนต์ก็ไม่ใช่รุ่นที่ลูกชายเคยใช้ แต่ยอมรับว่าลูกชายเคยประสบอุบัติเหตุมาแล้ว 2-3 ครั้ง ซึ่งใครที่ขับรถมาคงทราบดีว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่อยากให้สังคมซ้ำเติม ซึ่งไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย ขณะนี้ที่ยังไม่พูดอะไรทั้งนั้นเพราะอยู่ในช่วงที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตกำลังโศกเศร้าเสียใจ ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดกันว่าจะชดใช้อย่างไร ตนและครอบครัวพร้อมดูแลอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องคดีความก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปตามกฎหมาย
** โอนคดีพ้น สภ.พระอินทร์ราชา
ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ได้หารือกับ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 (ผบช.ภ.1) ได้ข้อสรุปว่า จะยกกระบวนการสืบสวนทั้งหมดในคดีนี้จาก สภ.พระอินทร์ราชา ไปให้ทาง กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการแทน โดยจะมีการตั้งคณะพนักงานสืบสวนขึ้นมาเป็นการเฉพาะ และมอบหมายให้ รองผบช.ภ.1 ฝ่ายสืบสวน เป็นหัวหน้าคณะพนักงานดังกล่าวด้วย
** ยก กม.ยัน ตร.มีอำนาจกักตัว
วันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก "ทนายคู่ใจ" ได้เปิดข้อกฎหมายวิเคราะห์ กรณีรายการข่าวข้นคนเนชั่น ออกอากาศทางเนชั่นทีวี ที่มี นายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้โทรศัพท์สัมภาษณ์ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา ถึงความคืบหน้าคดีของนายเจนภพ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหาภายใน 48 ชั่วโมง จนทำให้สังคมเกิดความแคลงใจในกระบวนการยุติธรรม โดยที่ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ระบุว่า ได้แจ้งให้ทาง รพ.ตรวจระดับปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดแล้ว แต่นายเจนภพไม่ยินยอม ซึ่งถือเป็นสิทธิ์ของนายเจนภพ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถบังคับได้ ต่างจากกรณีขับรถเมาสุรา จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำหน้าที่ของตำรวจเป็นอย่างมาก
โดยเพจเฟซบุ๊กทนายคู่ใจได้หยิบยกเนื้อหาตามาตรา 43 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก มาตรา 43 ทวิ มาอธิบายประกอบ โดยระบุตแนหนึ่งว่า “..ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 43 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ พร้อมกันนั้นในวรรคสาม ยังให้อำนาจตำรวจในการกักตัวไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งจนกว่าผู้ต้องสงสัยจะยอมให้ตรวจสารเสพติดได้ ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ตรวจสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการมีอำนาจกักตัวผู้นั้นไว้ เพื่อดำเนินการตรวจสอบได้ภายในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นแห่งกรณีเพื่อให้การตรวจสอบเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว และเมื่อผู้นั้นยอมรับการตรวจสอบแล้ว หากผลการตรวจสอบในเบื้องต้นปรากฏว่าไม่ได้เสพ ก็ให้ปล่อยตัวไปทันที”
เช่นเดียวกับ น.พ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่ระบุว่า ตามกฏหมายตำรวจมีสิทธิ์ที่จะตรวจแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ ถ้าผู้ขับขี่ปฏิเสธไม่ให้ตรวจกฎหมายให้ถือว่าผู้นั้นเมา ดังนั้นในกรณีนี้ถือว่าตำรวจไม่ทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ผู้ขับขี่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไม่ตรวจ แต่กฎหมายได้บอกแล้วว่าในกรณีของการเมานั้น ถ้าปฏิเสธให้ถือว่าผู้นั้นเมาสามารถส่งฟ้องได้เลย
** พระราชทานเพลิงศพ 2 เหยื่อเบนซ์ซิ่ง
อีกด้าน พระอาจารย์มหาหรรษา ธมมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เพจHansa Dhammahaso ระบุว่า หลักสูตรปริญญาโท และเอก สาขาสันติศึกษา มหาจุฬาฯ และ ครอบครัวถาวร รวมถึงครอบครัวฮ้อแสงชัย รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเพลิงศพ “นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย” เป็นกรณีพิเศษ จึงขอเชิญญาติธรรมร่วมงานพระราชทานเพลิงศพตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน พร้อมขออนุโมทนาขอบคุณ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ประธานมูลนิธิต่อต้านการทุจริต และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ที่เดินทางมาแสดงความเสียใจและร่วมสวดอภิธรรมศพ น.ส.ธันฐภัทร์ ด้วย โดย ศ.พิเศษ วิชา ได้เป็นอาจารย์สอนผู้เสียชีวิตเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว.
วานนี้ (17 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่โรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท กทม. พ.ต.ท.สมศักดิ์ พลพันขาง รองผู้กำกับ (ผกก.) สอบสวน สถานีตำรวจภูธร (สภ.) พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา เดินทางเข้าแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต่อ นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ผู้ก่อเหตุขับขี่รถเมอร์ซิเดสเบนซ์ ป้ายทะเบียน ษง-3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนรถ 2 นักศึกษาปริญญาโทจนเสียชีวิตบน ถ.พหลโยธิน กิโลเมตรที่ 53 บริเวณทางแยกต่างระดับบางปะอิน เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา
พ.ต.ท.สมศักดิ์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาแจ้งข้อหากับนายเจนภพ ในเบื้องต้นจะแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และจะทำการสอบปากคำนายเจนภพในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีเป็นครั้งแรก ส่วนการสอบปากคำพยานในเหตุการณ์มีความคืบหน้าไปมากแล้ว นอกจากนี้ยังได้ประสานผู้ที่โพสต์คลิปเหตุการณ์เข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบคลิปเหตุการณ์สามารถยืนยันในพฤติการณ์ของผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจน รวมทั้งมีพยานหลักฐานแน่นหนาในการเอาผิดผู้ก่อเหตุ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางตำรวจได้เดินทางมาพบผู้ก่อเหตุตั้งแต่วันที่เกิดเหตุที่ รพ.บางปะอินแล้ว แต่เนื่องจากยังอยู่ในห้องไอซียู ทำให้ไม่สามารถสอบปากคำได้ ทั้งนี้จะมีการสอบปากคำในรายละเอียดต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย
** ตร.ย้ำผู้ต้องหาไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์
ต่อมา พ.ต.ท.สมศักดิ์ เปิดเผยภายหลังสอบปากคำนายเจนภพนานกว่า 3 ชม.ว่า ผู้ต้องหามีสติดีและได้ให้การรับสารภาพว่าขับรถโดยประมาทจริง หลังจากนี้ตำรวเตรียมตรวจสอบย้อนหลังว่า ผู้ต้องหาเคยก่อเหตุชนแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง เบื้องต้นจากการสอบถามญาติยอมรับว่าผู้ต้องหาเคยขับรถจนเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้มาก่อน ส่วนประเด็นที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจวัดปริมาณแอลกฮอล์ในเลือดหลังเกิดอุบัติเหตุนั้น เนื่องจากผู้ต้องหาอยู่ในอาการบาดเจ็บ การไม่ให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ก็เป็นสิทธิ์ แต่ยืนยันว่าหลังเกิดเหตุตำรวจไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอร์ในตัวผู้ต้องหา
“ที่สังคมสงสัยว่าผู้ก่อเหตุจะมีแอลกอฮอลล์หรือไม่นั้น ยืนยันว่าวันที่เกิดเหตุผู้ต้องหาไม่มีกลิ่นแอลกอฮอลล์แต่อย่างใด” พ.ต.ท.สมศักดิ์ ระบุ
ส่วนกรณีพบยาแก้โรคซึมเศร้าของสถาบันจิตเวชศาสตร์ สมเด็จเจ้าสามพระยา เป็นชื่อของ นายเจนภพ ภายในรถคันเกิดเหตุ จะมีผลต่อคดีหรือไม่นั้น พ.ต.ท.สมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ ขอไปตรวจสอบรายละเอียดให้แน่ชัดก่อน โดยต้องไปสอบถามแพทย์ที่รักษาตามประวัติว่า ยาดังกล่าวมีผลต่อการขับรถหรือไม่ หรือระหว่างขับรถรับประทานยาไปแล้วจะมีผลอย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่าตำรวจไม่รู้สึกกดดันการทำคดีนี้ หลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
** “พ่อตีนผี” ออกตัวสั่งย้าย รพ.เอง
ด้าน นายเจษฎา วีรพร บิดาของผู้ขับรถเบนซ์ เปิดเผยว่า วันแรกหลังจากเกิดเหตุ ตนอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เมื่อทราบข่าวจึงรีบเดินทางกลับมาทันที โดยให้เพื่อนเข้าไปพบกับญาติผู้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลก่อน สาเหตุที่ไม่ได้ไปด้วยตนเอง เนื่องจากต้องดูแลนายเจนภพที่บาดเจ็บที่ห้องไอซียู และตนเป็นคนสั่งให้ย้ายโรงพยาบาลด่วน เพราะบุตรชายของตนเป็นคนไข้ที่ รพ.สมิติเวช และเป็นห่วงเรื่องเครื่องมือที่จะรักษา เพราะยังไม่ทราบว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ตนยังได้เดินทางไปร่วมสวดพระอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตในคืนแรก รวมถึงขอขมากับญาติของผู้เสียชีวิตด้วย ซึ่งในวันดังกล่าวมีโอกาสพูดคุยกันในเบื้องต้น ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังฝากความเป็นห่วงถึงบุตรชายของตนด้วย
“เห็นคลิปแล้วก็ตกใจ เพราะชนขนาดนี้อาการก็น่าจะรุนแรง คนเป็นพ่อเพื่อความปลอดภัยของลูก ก็ต้องให้เขาย้ายโรงพยาบาล ที่บอกว่าเขาเป็นคนมีสติบอกให้ย้ายเอง เรื่องนี้ไม่ใช่ พ่อเป็นคนสั่งให้ย้ายเอง” นายเจษฎา ระบุ
** อ้างสมองกระเทือนจำเหตุการณ์ไม่ได้
นายเจษฎา เปิดเผยถึงอาการของนายเจนภพด้วยว่า ยังมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ซึ่งอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัด รวมทั้งทีมแพทย์กำลังตรวจเช็คสมองว่า มีอาการผิดปกติร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากลูกชายจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ โดยส่วนตัวคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะพูดคุยในเรื่องของคดีความ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างยังมีความเสียใจอยู่ ซึ่งภายหลังจากนี้จะมีการพูดคุยเพื่อให้มีความชัดเจนเพิ่มขึ้น
นายเจษฎา ยังได้กล่าวถึงกระแสในสังคมออนไลน์ด้วยว่า บางข้อมูลก็ไม่เป็นความจริง เช่น รถยนต์ก็ไม่ใช่รุ่นที่ลูกชายเคยใช้ แต่ยอมรับว่าลูกชายเคยประสบอุบัติเหตุมาแล้ว 2-3 ครั้ง ซึ่งใครที่ขับรถมาคงทราบดีว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่อยากให้สังคมซ้ำเติม ซึ่งไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย ขณะนี้ที่ยังไม่พูดอะไรทั้งนั้นเพราะอยู่ในช่วงที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตกำลังโศกเศร้าเสียใจ ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดกันว่าจะชดใช้อย่างไร ตนและครอบครัวพร้อมดูแลอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องคดีความก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปตามกฎหมาย
** โอนคดีพ้น สภ.พระอินทร์ราชา
ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ได้หารือกับ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 (ผบช.ภ.1) ได้ข้อสรุปว่า จะยกกระบวนการสืบสวนทั้งหมดในคดีนี้จาก สภ.พระอินทร์ราชา ไปให้ทาง กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการแทน โดยจะมีการตั้งคณะพนักงานสืบสวนขึ้นมาเป็นการเฉพาะ และมอบหมายให้ รองผบช.ภ.1 ฝ่ายสืบสวน เป็นหัวหน้าคณะพนักงานดังกล่าวด้วย
** ยก กม.ยัน ตร.มีอำนาจกักตัว
วันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก "ทนายคู่ใจ" ได้เปิดข้อกฎหมายวิเคราะห์ กรณีรายการข่าวข้นคนเนชั่น ออกอากาศทางเนชั่นทีวี ที่มี นายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้โทรศัพท์สัมภาษณ์ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา ถึงความคืบหน้าคดีของนายเจนภพ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหาภายใน 48 ชั่วโมง จนทำให้สังคมเกิดความแคลงใจในกระบวนการยุติธรรม โดยที่ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ระบุว่า ได้แจ้งให้ทาง รพ.ตรวจระดับปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดแล้ว แต่นายเจนภพไม่ยินยอม ซึ่งถือเป็นสิทธิ์ของนายเจนภพ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถบังคับได้ ต่างจากกรณีขับรถเมาสุรา จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำหน้าที่ของตำรวจเป็นอย่างมาก
โดยเพจเฟซบุ๊กทนายคู่ใจได้หยิบยกเนื้อหาตามาตรา 43 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก มาตรา 43 ทวิ มาอธิบายประกอบ โดยระบุตแนหนึ่งว่า “..ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 43 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ พร้อมกันนั้นในวรรคสาม ยังให้อำนาจตำรวจในการกักตัวไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งจนกว่าผู้ต้องสงสัยจะยอมให้ตรวจสารเสพติดได้ ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ตรวจสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ตรวจการมีอำนาจกักตัวผู้นั้นไว้ เพื่อดำเนินการตรวจสอบได้ภายในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นแห่งกรณีเพื่อให้การตรวจสอบเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว และเมื่อผู้นั้นยอมรับการตรวจสอบแล้ว หากผลการตรวจสอบในเบื้องต้นปรากฏว่าไม่ได้เสพ ก็ให้ปล่อยตัวไปทันที”
เช่นเดียวกับ น.พ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่ระบุว่า ตามกฏหมายตำรวจมีสิทธิ์ที่จะตรวจแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ ถ้าผู้ขับขี่ปฏิเสธไม่ให้ตรวจกฎหมายให้ถือว่าผู้นั้นเมา ดังนั้นในกรณีนี้ถือว่าตำรวจไม่ทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ผู้ขับขี่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไม่ตรวจ แต่กฎหมายได้บอกแล้วว่าในกรณีของการเมานั้น ถ้าปฏิเสธให้ถือว่าผู้นั้นเมาสามารถส่งฟ้องได้เลย
** พระราชทานเพลิงศพ 2 เหยื่อเบนซ์ซิ่ง
อีกด้าน พระอาจารย์มหาหรรษา ธมมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เพจHansa Dhammahaso ระบุว่า หลักสูตรปริญญาโท และเอก สาขาสันติศึกษา มหาจุฬาฯ และ ครอบครัวถาวร รวมถึงครอบครัวฮ้อแสงชัย รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเพลิงศพ “นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย” เป็นกรณีพิเศษ จึงขอเชิญญาติธรรมร่วมงานพระราชทานเพลิงศพตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน พร้อมขออนุโมทนาขอบคุณ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ประธานมูลนิธิต่อต้านการทุจริต และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ที่เดินทางมาแสดงความเสียใจและร่วมสวดอภิธรรมศพ น.ส.ธันฐภัทร์ ด้วย โดย ศ.พิเศษ วิชา ได้เป็นอาจารย์สอนผู้เสียชีวิตเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว.