อาจารย์แซม “นักสะกดจิต” เปิดใจ วิธีการบำบัดด้วยการสะกดจิต แก้ได้สารพัดโรค บรรดาเด็กดื้อ เด็กเกเร เด็กติดยา ไม่มีสมาธิ เรียนไม่เก่ง เปลี่ยนได้ รวมไปถึงกลุ่มโรคหลอดเลือด มะเร็ง ทอมดี้ ชี้ต้นเหตุมาจากฮอร์โมน และจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ขณะที่มนุษย์มี 2 คนในร่างเดียวกัน เผยรักษาคนไข้กว่า 3 พันคนที่มาใช้บริการ พบทางสุขทั้งสิ้น โดยเฉพาะ “ดร.บุ๋ม” ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หายจากโรคกลัวการแต่งงานครั้งใหม่ ด้านผู้ประกาศข่าวชื่อดัง “กนก รัตน์วงศ์สกุล” กล้าที่จะขึ้นเครื่องบินแล้ว
หลายคนฟังแล้วอาจจะไม่เชื่อว่า "วิชาสะกดจิต" แก้สารพัดโรคหรือสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัวเราได้ และถ้าคนที่ได้ร่ำเรียนวิชาสะกดจิตแต่ไปใช้ในทางลบก็จะกลายเป็นมารร้ายในสังคมที่ทุกคนอยากหลีกหนี
แต่หากนำไปใช้ในทางบวกก็จะช่วยสร้างความสุข เด็กที่เรียนไม่เก่ง เด็กสมาธิสั้น เด็กเกเรก็อาจกลายเป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน ขณะเดียวกันคนป่วยมะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ฯลฯ หรือกลุ่มที่มีเพศสภาพที่ผิดแปลกไปก็จะสามารถแก้ไขได้เช่นกัน
special scoop ได้นำความจริงของการสะกดจิตจากผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์แสนชัย เวสารัชตระกูล หรือ อาจารย์แซม นักสะกดจิตบำบัดมาถ่ายทอดให้ฟัง โดยอาจารย์แซมบอกว่า ศาสตร์ของการสะกดจิตนั้นกำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นและยุโรป และเมื่อ 1,000 ปีที่ผ่านมา โยคีของอินเดียเป็นคนแรกที่เริ่มนำการสะกดจิตมาใช้สำหรับควบคุมจิตใต้สำนึก ให้อดอาหารได้นานๆ และกินในปริมาณที่น้อยลง
วิวัฒนาการจากโยคีต่อยอดมาเป็นโยคะ และถือกำเนิดมาเป็นวิชาสะกดจิตในปัจจุบัน ซึ่งหลักของการบังคับจิต ต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า จิตมีอยู่ 4 ระดับ คือ 1.จิตสำนึก 2.จิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นพลังแฝงอยู่ในร่างกายของเรา 3.จิตเหนือสำนึก คือ นักบวช และ 3.จิตไร้สำนึก คือ คนที่เสพยาบ้า จนเมาแล้วอาละวาดทำร้ายคนอื่น ซึ่งเมื่อคนสามารถเข้าใจกระบวนการของจิตแล้ว ก็จะสะกดจิตตัวเองได้
เช่นเดียวกับที่อาจารย์แซมพยายามจะค้นหาตัวตนของตัวเอง จึงเป็นที่มาของการเบนเข็มสู่การเป็นนักสะกดจิตบำบัดจนถึงปัจจุบัน อาจารย์แซมเล่าให้ฟังว่า จากชีวิตในอดีตเริ่มต้นการทำงานในตำแหน่งครีเอทีฟของฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัทเอเยนซีโฆษณาท็อปไฟว์ของโลกในเมืองไทย จนถึงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ รับเงินเดือนครั้งสุดท้ายเกือบ 3 แสนบาท และมีเงินสด ทรัพย์สิน บ้าน รถยนต์ อยากได้อะไรก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือ “ความสุข” เพราะหลังทำงานตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาบ้านนอนไม่หลับ “ปิดสวิตช์” ไม่ได้ ในที่สุดจึงตัดสินใจลาออกมาแสวงหาตัวตน
จากนักการตลาดไปเป็นนักสะกดจิต
หลังลาออกจากงาน อาจารย์แซมใช้เวลา 2 ปีเข้าไปศึกษาคำสอนของแต่ละศาสนา เริ่มต้นจากเข้า “วัด” “สุเหร่า” และ “โบสถ์คริสต์” ฯลฯ และเมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ที่ลาออกจากงานแล้ว จึงค้นพบตัวตนจากคำว่า “Hypnotics” ด้วยแนวคิดที่ว่าทุกศาสนา คือ การสะกดจิต ซึ่งที่ต่างประเทศมีการเปิดสอนหลักสูตรสะกดจิต ตั้งแต่ระดับ Diploma ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก และยังมี Mind Clinic สะกดจิตรักษาโรค
จากความสนใจในศาสตร์นี้เป็นพิเศษ และการเป็นคนที่ต้องรู้จริง ทำให้อาจารย์แซมตัดสินใจบินไปเรียนวิชานี้ใน 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เดนมาร์ก นิวซีแลนด์ โดยใช้เวลา 2 เดือน ผ่านการฝึกทำเคสการรักษาด้วยการสะกดจิตบำบัดกว่า 150 ครั้ง ซึ่งจะต้องหาเคสผู้ป่วยให้ครบทั้งมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต ฯลฯ พูดติดอ่าง รักเพศเดียวกัน กลัวที่แคบ กลัวความสูง ซึ่งกลุ่มที่รักษาอันดับหนึ่ง คือ อาการนอนไม่หลับ เรียกว่าอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับตัวเขาเอง ทำให้ไม่มีความสุขอาจารย์แซมก็จะเข้าไปดูแลเคสแบบนี้
หลักการของวิชาสะกดจิต จะสอนให้รู้จักฮอร์โมนต่างๆ ทำไมคนมีความรักแล้วมีความสุข ทั้งหมดเป็นเรื่องของฮอร์โมนและจิตเป็นเจ้านายและร่างกายเป็นลูกน้อง จิตสั่งสมองสั่งร่างกาย ซึ่งเป็นทฤษฎี และช่วงเรียนต้องมีฝึกสะกดจิตไปด้วย หาคนที่เป็นโรคต่างๆ มาสะกดจิต และหลังจากที่เรียนจบก็ออกตระเวนเที่ยวไปในประเทศต่างๆ ที่ไหนมีคอร์สเปิดอบรมก็เข้าไปร่วมฝึกฝนจนได้เพื่อน หลังจากนั้นจึงกลับมาเมืองไทย เป็นแชมป์แฟนพันธุ์แท้สุดยอดโฆษณา จนมีคนเชิญไปบรรยายวิชานิเทศศาสตร์ การโฆษณา พีอาร์ และการตลาด
ช่วงนี้มีโอกาสใช้วิชาสะกดจิตหมู่เด็กนักศึกษาให้มีสมาธิในการเรียนหนังสือ และปรากฏว่าเด็กกลุ่มนี้มีผลการเรียนดีได้เกรด 4 มากขึ้น เรียกว่าในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้เองที่ทำให้ได้สะสมประสบการณ์และมีความมั่นใจในศาสตร์ของการสะกดจิตได้มากขึ้น และจากนั้นก็เปิดคลินิกที่โรงพยาบาลบีแคร์ ซึ่งเป็นคลินิกสะกดจิตในโรงพยาบาลแห่งแรก ตามมาด้วยโรงพยาบาลปิยะเวท และคลินิกพิเศษที่ริมแม่น้ำถนนพระราม 3
ดารา-คนดังเข้ารับการรักษาหลังจากเปิดคลินิก
อาจารย์แซมบอกอีกว่า จากช่วงระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีคนไข้ที่มารักษาด้วยการสะกดจิตแล้วกว่า 3 พันคน ซึ่งเคสที่ทำให้ชื่อเสียงอาจารย์แซมโด่งดังก็คือ เคสการรักษาโรคเจ้าสาวที่กลัวฝน กลัวการแต่งงานครั้งใหม่ของ “ดร.บุ๋ม” ปนัดดา วงศ์ผู้ดี และผู้ประกาศข่าวชื่อดัง "กนก รัตน์วงศ์สกุล" หายจากอาการกลัวเครื่องบินและกลัวความสูง ซึ่งในต่างประเทศเขาใช้วิธีบำบัดด้วยการสะกดจิต รักษาอาการต่างๆ เหล่านี้ได้สำเร็จมานานมากแล้ว
ในการรักษาด้วยวิธีการสะกดจิต จะเป็นการรักษาบำบัดกันแบบตัวต่อตัว ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ทำให้รักษาได้วันละไม่กี่คน ในปัจจุบันเมื่อคนให้ความสนใจเข้ารับการรักษาคิวยาวมากขึ้น นั่นจึงเป็นที่มาของการหยุดพักการรักษาแบบเป็นรายบุคคล แต่หันมาใช้แนวทางในการสะกดจิตหมู่ ซึ่งเป็นการสะกดจิตเพื่อหยุดเครียด ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากบริษัทยักษ์ใหญ่ ระดับมหาชนหลายแห่งที่ติดต่อให้อาจารย์แซมเข้าไปเปิดคอร์สสะกดจิตหมู่ เพื่อให้พนักงานทั้งเครือกว่า 980 คนมีสุขภาพจิตและสมาธิในการทำงาน
“เพราะคนเรามักจะรู้เรื่องคนอื่นๆ เพื่อน ดารา คนข้างบ้านเยอะมาก แต่เราจะรู้เรื่องของตัวเองน้อยมาก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่มาของความเครียดคืออะไร ถ้าคนเราไม่จัดการกับความเครียด ก็เปรียบเสมือนซุกขยะไว้ใต้พรมบ้านดูสะอาด แต่เมื่อเปิดพรมขึ้นมาพบขยะเต็มไปหมด”
การคลายเครียดของคนในยุคนี้มีหลายวิธี บางคนมีพฤติกรรม “เสพติดการชอปปิ้ง” หรือ Shopaholic ซึ่งเป็นโรคชนิดหนึ่งมีลักษณะของคนที่ไม่มีความภูมิใจในตัวเอง จะชอบเดินทางท่องเที่ยวไปในต่างประเทศ มีบัตรเครดิตทั้งหมด 12 ใบ รูดเดือนละ 4 แสนบาท ชอปปิ้งกระเป๋าเสื้อผ้ารองเท้าไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้นำสิ่งของที่ซื้อกลับมาใช้งาน
แต่อันที่จริงแล้วความเครียดสะสมไม่เคยได้แก้ที่ต้นเหตุเลย หรือบางคนเกิดอาการซึมเศร้า และพัฒนาการไปเป็นโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคที่มีอาการผิดปกติที่สำคัญทางอารมณ์ 2 ขั้ว ทำให้คนมีสองบุคลิก เมื่อเวลาสุขจะสุขสุดๆ เวลาเศร้าก็เศร้าสุดๆ ซึ่งนำไปสู่โรคซึมเศร้า หรือการทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตายในที่สุด ที่ผ่านมามีคนไข้ที่เข้ามารับการบำบัดกับจิตแพทย์ในโรงพยาบาลแล้วไม่หายขาด แต่หลังจากรับการรักษาด้วยวิธีสะกดจิตบำบัดก็หายขาดได้
สะกดจิตแก้สารพัดโรค สารพัดปัญหา
อย่างไรก็ดี การรักษากับจิตแพทย์ กับการรักษากับอาจารย์แซม ด้วยวิธีการสะกดจิต มีความแตกต่างกัน เพราะจิตแพทย์จะใช้วิธีการจ่ายยา แต่การรักษาสะกดจิตไม่ต้องใช้ยา นั่นคือความต่าง ซึ่งการกินยาได้ผลทันทีเพราะยาเข้าไปกล่อมประสาทหยุดฮอร์โมนบางตัว แต่ข้อเสียคือ ต้องกินยาตลอดชีวิต ส่วนการรักษาด้วยวิธีสะกดจิตบำบัดสามารถค้นพบตัวตนของปัญหา และเปลี่ยนฮอร์โมนด้วยการสะกดจิต ซึ่งโรคที่รักษาได้ คือ โรคที่เกิดจากจิตใจ เกิดจากฮอร์โมน เช่นโดนรถชนขาหักต้องไปหาหมอ แต่ระหว่างทางมีการบำบัดด้วยวิธีการสะกดจิตจะทำให้คนป่วยขาหักมีความเจ็บปวดน้อยลง
ดังนั้นหน้าที่ของนักสะกดจิตก็คือจะต้องมีการบำบัดก่อนที่สมองจะสั่งการ ทั้งนอนไม่หลับ ชีวิตไม่มีความสุขย้ำคิดย้ำทำ กลัวที่แคบ กลัวเข็มฉีดยา ไม่มั่นใจ พูดติดอ่าง อาการเหล่านี้มาจากฮอร์โมนซึ่งเกิดจากจิตทั้งสิ้น โดยแก้ที่ฮอร์โมน เปลี่ยนวิธีการหลั่งของฮอร์โมนด้วยการสะกดจิต คือ การแก้ที่ต้นเหตุ ถือเป็นแพทย์ทางเลือกใหม่เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสรักษา
นอกจากนั้นยังมีครอบครัวที่พาลูกมาปรึกษาโดยวิธีนี้มีทั้งเด็กเรียนไม่เก่ง ติดเกม ดื้อ ติดยา และหลังจากรับการรักษาแล้วพ่อแม่จะมีสุขภาพจิตดีขึ้น รักษาหนึ่งคนทำให้ครอบครัวดีขึ้นทั้งครอบครัวได้เช่นกัน และลูกที่เรียนไม่เก่งส่วนใหญ่ต้องหาสาเหตุให้เจอก่อน โดยส่วนมากมักมีพ่อแม่ที่เก่งมาก หรือพ่อแม่พูดเยอะจนกระทั่งลูกกลายเป็นคนเงียบๆ และส่วนใหญ่เรียนหนังสือไม่ดี การรักษาจะแนะนำเทคนิคต่างๆ ซึ่งมีทั้งเพลงที่ฟังแล้วช่วยผ่อนคลาย และยังมีการแนะนำให้รับประทานอาหารที่ช่วยให้เซลล์สมองเพิ่มมากขึ้น เรียกว่าบำบัดทั้งจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก
“เด็กรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมๆ กับเกม รีโมต ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่มีสมาธิทั้งสิ้น คนที่เรียนไม่เก่งไม่มีสมาธิ และคนที่เรียนเก่งมีสมาธิ เป็นคำตอบที่มีความชัดเจนอยู่ในตัวเลย”
สำหรับขั้นตอนการรักษา จะมีการซักประวัติ ให้กรอกเอกสาร ชื่อ อายุ อาชีพ พี่น้องและครอบครัว และอาการ ที่จะนำมาสู่การวิเคราะห์อาการ รวมถึงการถามด้วยข้อมูลเชิงลึกเพื่อค้นหาต้นเหตุปัญหา และเพื่อรักษาในขั้นตอนต่อไป คือ การใช้อุปกรณ์กลองสะกดจิตสีดำ และระฆังของพระทิเบต แหล่งกำเนิดของคลื่นเสียงอัลฟ่า ทีต้า เดลต้า และคอสมิก เพื่อทำให้จิตเปิดเพื่อคุยกับจิตใต้สำนึก
ทั้งนี้เพราะคนเราจะมี 2 คนในร่างกาย และเพื่อให้อีกคนในร่างกายออกมาคุยกันด้วยจิต โดยใช้โปรแกรมดูดขยะจากจิต แล้วป้อนข้อมูลใหม่เข้าไป ตัวอย่างคนที่มีความกลัวที่สูงลึกๆ จะมีการป้อนข้อมูลใหม่เข้าไปว่า “ความสูงเฉยๆ เราอยู่กับความสูงได้ เราอยู่กับความสูงได้ เรากลัวความสูงมากไปแล้ว ชีวิตนี้เรากลัวความสูงจนมากเกินไปแล้ว ความสูงเฉยๆ เราขึ้นเครื่องบินได้ ซึ่งการใช้ระยะเวลาสะกดจิตนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับอาการ
สะกดจิตถูกใช้ทางลบจะเป็นอย่างไร
อาจารย์แซมอธิบายว่า บางครั้งมีคนนำวิชาสะกดจิตไปใช้ในทางลบ จะก่อให้เกิดปัญหาสังคมได้ เช่น
บรรดาแก๊งที่หากินรูดสร้อยรูดแหวน รูดนาฬิกาตามป้ายรถเมล์ ก็ใช้วิชาสะกดจิตไปในทางลบ โดยสะกดจิตจากประสาทสัมผัสของมนุษย์ทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัส ซึ่งความจริงแล้วศาสตร์นี้ไม่ได้สอนมาเพื่อนำไปใช้ในทางลบ และเหตุนี้ทำให้อาจารย์แซมเลือกที่จะเปิดสอนสะกดจิตเพียงปีละครั้ง และต้องคัดเลือกคน
“เชื่อว่าคนกลุ่มที่เป็นมิจฉาชีพไม่ได้เรียนวิชาสะกดจิตที่เป็นศาสตร์ เพราะค่าเรียนที่ต่างประเทศสูงถึงหลักล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นครูพักลักจำกันมา รู้ว่าคนคนไหนจะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ซึ่งคนที่จะตกเป็นเหยื่อ คือคนที่เดินเหม่อลอย ไม่มีสมาธิ เล่นมือถือ มีความกังวล คิดเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา”
การสะกดจิตเพื่อหยุดเครียด
อาจารย์แซมระบุว่า วิชาสะกดเป็นศาสตร์ที่พิสูจน์ได้และจากประสบการณ์ที่รักษาคนมากว่า 3 พันคน ในโรงพยาบาลชื่อดัง ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องหลอกลวง “ลวงโลก” คงมีเรื่องร้องเรียนโด่งดังกันในวงการแล้ว เพราะความจริงแล้ว การที่อาจารย์แซมร่ำเรียนวิชานี้ ก็เพราะต้องการค้นหา “ความสุข” และเป้าหมายของการช่วยสะกดจิตให้กับทุกคนที่ผ่านมา เพื่อให้เขาอยู่ได้อย่างมีความสุขเช่นกัน และหากใครไม่เชื่อก็สามารถพิสูจน์ เพราะจะมีการอบรม “สะกดจิต...หยุดเครียด” ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน ที่โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ รัชดาฯ โดยเนื้อหาจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ การให้วัคซีนกับจิตสำนึกที่เกี่ยวกับทฤษฎีการใช้ชีวิต ส่วนรอบบ่ายจะเน้นที่การเปิดจิตใต้สำนึก ซึ่งอาจารย์แซมจะขนอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ครบ และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หลายๆ คนมาร่วมกันสร้างวัคซีนให้จิตใต้สำนึก โดยวิธีการจัดระเบียบจิต และดูดขยะจิตพร้อมๆ กัน