เมื่อวานนี้ (16มี.ค.) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ และผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย นำนายเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย เข้าพบ และหารือกับ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยพล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า ตนชื่นชมทั้งสองท่านที่มาเข้าพบ ที่ทำชื่อเสียงให้ประเทศ ซึ่งจากการพูดคุยมีการตั้งเป้าหมายว่าจะทำอย่างไรที่จะให้อีก 10-12 ปี ข้างหน้าเราจะส่งฟุตบอลไทยไปฟุตบอลโลกให้ได้ในทุกระดับ ดังนั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่เยาวชน ที่นายเกียรติศักดิ์ มีมูลนิธิซิโก้ อยู่แล้ว มีการเริ่มหาช้างเผือกมาเรียน กินนอนร่วมกัน อบรมบ่มนิสัยให้มีความมีวินัย ทำเป็นดรีมทีมขึ้นมา เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และมีแผนว่าถ้า 2 ปี ไปฟุตบอลโลกยังไม่ได้ 4 ปี ไปไม่ได้ ก็จะเป็น 6 ปี ดังนั้น เยาวชนพวกนี้ จะเป็นกำลังหลัก เป็นทีมชาติไทย
"รัฐบาลถือว่าคุณซิโก้ มีความรู้ความสามารถ และถือว่าการทำมูลนิธิฯ มีความเสียสละ อะไรที่รัฐบาลจะสนับสนุนได้ ก็จะสนับสนุนให้ แต่ต้องดูกฎ กติกา ว่าจะช่วยได้อย่างไร ซึ่งการที่มูลนิธิซิโก้จะสร้าง ก็เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เท่ากับเราโอนให้ท่านทำงานให้เรา แต่เราก็ต้องร่วมกัน ถือว่าเป็นประชารัฐด้วยที่ต้องมี รัฐ เอกชน ประชาชน มาร่วมกันสร้างเพื่อให้ผลประโยชน์สุดท้ายอยู่กับประเทศ" พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าว
ด้าน นายเกียรติศักดิ์ กล่าวว่า ฟุตบอลไทยกำลังมีศรัทธาที่ดี ที่มาหารือว่าเราจะต้องวางแผนรากฐานกันอย่างไร โดยในส่วนของสมาคมฟุตบอล กับไทยพรีเมียลีกส์ ก็ว่ากันไป แต่เราจะมาทำในเชิงชอตคัต เหมือนกับประเทศเยอรมนี ที่ใช้เวลา12 ปี ในการเป็นแชมป์โลก ดังนั้นคิดว่า เราจะปลูกฝังเด็กของเราอย่างไรให้มีความรู้และเก่งเรื่องฟุตบอลด้วย
"การพัฒนาเด็กต้องทำหลายๆ ช่องทาง วันนี้ผมนำเรียนท่านรองนายกฯ ในเรื่องของการสร้างสนาม อาคารที่พัก ของมูลนิธิฯที่ตอนนี้ดูสถานที่ไว้ที่บางบอน ซึ่งไม่ไกลจากกทม. ซึ่งมูลนิธิของผม เปิดมา 3 ปี แล้วเพียงแต่นี้เป็นอีกโปรเจกต์หนึ่ง ที่ผู้ใหญ่ท่านเห็นดีเห็นงามด้วย ที่รองนายกฯสอบถามว่า มีใครเป็นสปอนเซอร์หรือยัง มีใครช่วยเหลือบ้าง จะให้รัฐบาลช่วยอย่างไร จะหางบประมาณจากไหน หรือถ้างบหมดแล้วจะทำอย่างไร" ซิโก้ กล่าว
นายเกียรติศักดิ์ ยังกล่าวถึงการแข่งขันของทีมชาติไทยว่า ตนต้องการผ่านอิรัก ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกให้ได้ เพื่อเข้าไปเป็นประวัติศาสตร์ในรอบ 12 ทีมสุดท้ายเสียก่อน ถ้าเราผ่านได้ เราจะเข้าไปแข่งขันในระดับเอเชีย 2 ปี ติดต่อกัน คนไทยจะได้ดูบอลระดับเอเชียมากขึ้น เพราะเราก้าวจากอาเซียนมาแล้ว เราจะได้เห็นการเตะกับ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และชาติที่เก่งๆ นั่นคือความภูมิใจ ส่วนว่าชนะได้ หรือไม่ เป็นอีกเรื่อง แต่ถือว่าเราจะก้าวไปสู่เวทีที่สูงขึ้น ที่เราต้องช่วยกันเชียร์
"รัฐบาลถือว่าคุณซิโก้ มีความรู้ความสามารถ และถือว่าการทำมูลนิธิฯ มีความเสียสละ อะไรที่รัฐบาลจะสนับสนุนได้ ก็จะสนับสนุนให้ แต่ต้องดูกฎ กติกา ว่าจะช่วยได้อย่างไร ซึ่งการที่มูลนิธิซิโก้จะสร้าง ก็เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เท่ากับเราโอนให้ท่านทำงานให้เรา แต่เราก็ต้องร่วมกัน ถือว่าเป็นประชารัฐด้วยที่ต้องมี รัฐ เอกชน ประชาชน มาร่วมกันสร้างเพื่อให้ผลประโยชน์สุดท้ายอยู่กับประเทศ" พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าว
ด้าน นายเกียรติศักดิ์ กล่าวว่า ฟุตบอลไทยกำลังมีศรัทธาที่ดี ที่มาหารือว่าเราจะต้องวางแผนรากฐานกันอย่างไร โดยในส่วนของสมาคมฟุตบอล กับไทยพรีเมียลีกส์ ก็ว่ากันไป แต่เราจะมาทำในเชิงชอตคัต เหมือนกับประเทศเยอรมนี ที่ใช้เวลา12 ปี ในการเป็นแชมป์โลก ดังนั้นคิดว่า เราจะปลูกฝังเด็กของเราอย่างไรให้มีความรู้และเก่งเรื่องฟุตบอลด้วย
"การพัฒนาเด็กต้องทำหลายๆ ช่องทาง วันนี้ผมนำเรียนท่านรองนายกฯ ในเรื่องของการสร้างสนาม อาคารที่พัก ของมูลนิธิฯที่ตอนนี้ดูสถานที่ไว้ที่บางบอน ซึ่งไม่ไกลจากกทม. ซึ่งมูลนิธิของผม เปิดมา 3 ปี แล้วเพียงแต่นี้เป็นอีกโปรเจกต์หนึ่ง ที่ผู้ใหญ่ท่านเห็นดีเห็นงามด้วย ที่รองนายกฯสอบถามว่า มีใครเป็นสปอนเซอร์หรือยัง มีใครช่วยเหลือบ้าง จะให้รัฐบาลช่วยอย่างไร จะหางบประมาณจากไหน หรือถ้างบหมดแล้วจะทำอย่างไร" ซิโก้ กล่าว
นายเกียรติศักดิ์ ยังกล่าวถึงการแข่งขันของทีมชาติไทยว่า ตนต้องการผ่านอิรัก ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกให้ได้ เพื่อเข้าไปเป็นประวัติศาสตร์ในรอบ 12 ทีมสุดท้ายเสียก่อน ถ้าเราผ่านได้ เราจะเข้าไปแข่งขันในระดับเอเชีย 2 ปี ติดต่อกัน คนไทยจะได้ดูบอลระดับเอเชียมากขึ้น เพราะเราก้าวจากอาเซียนมาแล้ว เราจะได้เห็นการเตะกับ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และชาติที่เก่งๆ นั่นคือความภูมิใจ ส่วนว่าชนะได้ หรือไม่ เป็นอีกเรื่อง แต่ถือว่าเราจะก้าวไปสู่เวทีที่สูงขึ้น ที่เราต้องช่วยกันเชียร์