นอกจากสองข่าวที่ผมได้นำมาเป็นชื่อบทความนี้แล้ว ในตอนท้ายผมจะแสดงความเห็นต่อคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” (11 มี.ค.59) ในกรณีโซลาร์เซลล์ว่าท่านนายกฯ ยังเข้าใจไม่ถูกต้องอย่างไร
เรามาว่ากันด้วยข่าวร้ายก่อนครับ
จากรายงานของหน่วยงานที่มีชื่อย่อว่า NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่ทำงานทางด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศพบว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2016 ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในระดับสูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ
ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมระดับดังกล่าวอยู่ที่ 280 ส่วนในล้านส่วน (พีพีเอ็ม) แต่ในปี 2012 ความเข้มได้สูงถึงประมาณ 391 พีพีเอ็ม โดยค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นใน 10 ปีหลังประมาณปีละ 2 พีพีเอ็ม
แต่ในปี 2015 ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 3.05 พีพีเอ็ม คือเพิ่มขึ้นเยอะกว่าอดีต และที่สำคัญกว่านั้นคือ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ได้เพิ่มขึ้นถึง 3.76 พีพีเอ็มผมได้นำกราฟมาให้ดูด้วย ถ้าเราไม่คิดอะไรเลยในข่าวร้ายนี้ก็ต้องถือว่าน่าเป็นห่วงมาก
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัย คือ (1) เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ (แต่เกิดขึ้นถี่ขึ้นมากในระยะหลังๆ) และ (2) เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งข่าวชิ้นนี้ได้รายงานด้วยว่า กรณีไฟไหม้ป่าในอินโดนีเซีย (ซึ่งไหม้อยู่นานหลายเดือน) ก็มีส่วนทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มสูงขึ้นมากแต่ที่ข่าวชิ้นนี้ไม่ได้พูดถึง (คงเพราะคิดทราบกันดีแล้ว) ก็คือ สาเหตุใหญ่ที่สุดเกิดจากการเผาพลังงานฟอสซิล
ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไม่ได้เป็นสถิติเดียวที่ถูกทำลายในปี 2016 แต่สถิติอื่นๆ เช่น อุณหภูมิสูงสุดของอากาศ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือในบรรดา 15 ครั้งที่ถูกบันทึกว่าเป็นวันที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ในจำนวนนี้ 14 ครั้งเกิดขึ้นหลังปี 2001
จำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งผมได้นำเสนอในคอลัมน์นี้มาแล้วก็เพิ่มสูงขึ้นในลักษณะเดียวกัน
สำหรับประเทศไทยเราเอง ก็กำลังประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงมากในรอบหลายสิบปี จากภาคเหนือสุดถึงภาคใต้สุด จากน้ำเพื่อการเกษตรถึงเพื่อการอุปโภคบริโภค กรุณาอย่าหาว่าผมชอบนำเรื่องราวของต่างประเทศมาอ้าง แต่เป็นเพราะว่าสำนักข่าวต่างประเทศเขาสามารถนำเสนอในเชิงเปรียบเทียบได้ดีกว่า ภาพข้างล่างนี้แสดงให้เห็นภัยแล้งในทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศโบลิเวีย เขาเปรียบให้เห็นระดับน้ำในปี 2013 กับ 2016 ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า มันรุนแรงกว่าเดิมมาก(สังเกตรอยรถยนต์)
ประเด็นที่ผมจะสรุปเน้นในเรื่องปัญหาโลกร้อน 2 ประการ คือ (1) มันกำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่งซึ่งหมายถึงว่าความเร็วหรือความรุนแรงของปัญหามันเพิ่มขึ้นตามเวลา เหมือนๆ กับเราเร่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มความเร็วในเวลาขับรถยนต์นั่นแหละครับ (2) เรามักจะคิดว่า เหตุหนึ่งอย่างทำให้เกิดผลหนึ่งอย่าง เหตุใครเหตุมัน แต่ในสถานการณ์ของระบบที่ซับซ้อนแล้ว เราไม่อาจคิดเช่นนี้ได้ เหตุหนึ่งอย่างอาจส่งผลหลายอย่าง และผลแต่ละอย่างอาจจะเสริมกันจนได้ผลอื่นที่เราไม่คาดคิดได้ จบข่าวร้ายครับ
สำหรับข่าวดีข่าวเดียว มาจากบทความของศาสตราจารย์พอล ครุกแมน ผมได้สรุปมาไว้ในแผ่นสไลด์ดังรูปครับเมื่อ 2 ปีก่อน ท่านได้สารภาพผ่านบทความว่า “แนวความคิดที่จะนำสายลมและแสงแดดให้มามีบทบาทสำคัญในการกอบกู้ปัญหาโลกร้อนนั้น เป็นเรื่องเพ้อฝันของพวกฮิปปี้ แต่ผมผิดไปแล้ว”
ในวันนั้น สิ่งที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดก็คือรายงาน Revolution…Now The Future Arrives for Five Clean Energy Technologies–(2015 Update) ซึ่งเป็นงานวิจัยของกรมพลังงานของสหรัฐอเมริกาเอง
มาวันนี้ ท่านก็มีรายงานมาอ้างอิงเรียบร้อยข้อมูลระบุว่า นับจากปี 2006 ถึง 2015 ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลม และโซลาร์เซลล์ได้ลดลงถึง 61% และ 82% ตามลำดับ ซึ่งเป็นราคาที่สามารถแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลได้
สิ่งที่ศาสตราจารย์พอล ครุกแมนได้แสดงความเห็นไว้ในบทความเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก สหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นจะต้องมีการปฏิวัติทางการเมือง หรือมี“แผ่นดินไหวทางการเมือง (Political Earthquake)” ...ไม่ต้องมีการเสียสละทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่ขอให้ปฏิบัติตาม The Environmental Protection Agency’s Clean Power Plan ของรัฐบาลโอบามา ก็สามารถหนีออกไปจากการใช้ถ่านหินได้แล้ว
นอกจากนี้ท่านได้แสดงความมั่นใจของท่านซึ่งผมขออนุญาตไม่แปลว่า “We can have an energy revolution even if the crazies retain control of the House.” ผมเข้าใจว่าทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกาได้มีแผนงานและระเบียบของทางราชการไว้เรียบร้อยแล้ว
ด้วยแผนการส่งเสริมของสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ในปี 2015 ได้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ใหม่จำนวน 7,260 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้เป็นหลังคาที่อยู่อาศัยถึง 2,000 เมกะวัตต์ เมื่อนำมาเฉลี่ยพบว่าเฉพาะที่อยู่อาศัยอย่างเดียวมีการติดตั้งขนาด 5 กิโลวัตต์เพิ่มขึ้นวันละ 1,096 หลังคาเรือน หรือปีละ 4 หมื่นหลังคาเรือน โดยที่ 43 รัฐได้มีกฎหมายรองรับให้ใช้ระบบ Net Metering ซึ่งผมจะขออธิบายในภายหลัง อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นข่าวดี แต่ยังมีดีกว่านี้อีก
เพื่อเป็นการเสริมข้อมูลของพอล ครุกแมน ผมขอยกข้อมูลเรื่องโซลาร์เซลล์ของประเทศเยอรมนีมาแสดงและเปรียบเทียบกับประเทศไทยด้วยครับ
จากตัวเลขของโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ในประเทศเยอรมนีพบว่า ราคาที่ทางราชการกำหนดรับซื้อไฟฟ้าในประเทศเยอรมนี (ในช่วง 10 ปีจากปี 2005 ถึง 2015) ได้ลดลงถึง 73% ลงมาเหลือเพียง 8.7 ยูโรเซนต์ หรือ 3.40 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาคงที่ตลอดอายุสัญญา 25 ปี โดยไม่จำกัดโควตา ในขณะที่รับซื้อจากหลังคาอาคารในราคา 4.91 บาทต่อหน่วย โดยไม่มีโควตาเช่นเดียวกัน
แต่ราคาที่ทางราชการไทยรับซื้ออยู่ระหว่าง 5.66 ถึง 6.85 บาทต่อหน่วย ตัวเลขน้อยเป็นของโซลาร์ฟาร์มตัวเลขมากเป็นของหลังคาอาคาร โดยมีโควตารวมกันเพียงระดับ 100 เมกะวัตต์
ในข่าวดีชิ้นนี้ยังมีส่วนที่ดีกว่านี้อีก คือจากการศึกษาในรายงานของเยอรมนี เขาได้ศึกษาถึงประเทศไทยด้วย พบว่า ต้นทุนเฉลี่ยตลอดอายุการใช้งาน (LCOE) ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ในปี 2025 จะลดลงมาอยู่ในช่วง 1.76 ถึง 2.27 บาทต่อหน่วยไฟฟ้าเท่านั้น
นอกจากนี้ จากรายงานอีกชิ้นหนึ่ง ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยต้นทุนเฉลี่ยตลอดโครงการ 1.40 บาทต่อหน่วยกำลังจะมีการลงนามสัญญา และเริ่มเดินไฟฟ้าจริงในปี 2021 หากได้จังหวะผมจะนำมาเล่าให้คนไทยได้ทราบกัน จบข่าวดีครับ
หากข่าวดีสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงก็จะสามารถลดความรุนแรงของข่าวร้ายได้อย่างแน่นอน ข่าวดีไม่ได้มีเฉพาะแต่เรื่องโซลาร์เซลล์ แต่ยังมีพลังงานลมและชีวมวลอีกมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง
แต่ที่จะลืมเสียไม่ได้ก็คือ ทั้งข่าวร้ายและข่าวดีต่างก็มาเร็วกว่าที่คนเราคาดคิดดังที่ พอล ครุกแมน ได้สารภาพเมื่อสองปีก่อน
มาถึงเรื่องสุดท้ายซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งผมขอสรุปเป็น ดังนี้
ที่ท่านนายกฯ บอกว่าโรงเรียนศรีแสงธรรม โดยท่านพระครูวิมลปัญญาคุณ เมื่อติดโซลาร์เซลล์แล้ว สามารถลดค่าไฟฟ้าของโรงเรียนจากเดือนละ 6 พันบาท ลงมาเหลือเพียง 40 บาทเท่านั้น
เรื่องนี้เคยเป็นความจริงอย่างที่ท่านนายกฯ พูด แต่วันนี้ไม่ใช่แล้วครับเป็นอดีตไปแล้ว แต่ก่อนจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เรามาทำความเข้าใจกับระบบการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์กันก่อนครับ โดยเฉพาะคำว่า Net Metering ซึ่งเป็นระบบแลกเปลี่ยนและคิดค่าไฟฟ้าระหว่างเจ้าของบ้านที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า กับการไฟฟ้าฯ ผู้ให้บริการ กรุณาทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนครับ ง่ายๆ
ก่อนที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ทางโรงเรียนใช้ไฟฟ้าประมาณเดือนละ 1,500 หน่วย (สมมติ คิดเป็นเงินก็ประมาณ 6 พันบาท) ถ้าสามารถผลิตเองได้ 1,496 หน่วย จำนวนพลังงานไฟฟ้าสุทธิ (Net) ที่ทางโรงเรียนจะต้องจ่ายก็คือ 4 หน่วย เมื่อรวมกับค่ารักษามิเตอร์อีกก็จะประมาณ 40 บาท ตามที่ท่านนายกฯ พูด
แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็นอดีตไปแล้วครับ เพราะทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มาเปลี่ยนมิเตอร์เป็นแบบดิจิตอล เมื่อไฟฟ้าที่ผลิตเองได้แต่ไม่ได้ใช้ก็ยังคงไหลเข้าสู่ระบบสายส่งดังเดิม ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับไฟฟ้าไปและนำไปขายให้ผู้ใช้รายอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเสาร์และอาทิตย์แต่ตัวเลขในมิเตอร์ของโรงเรียนศรีแสงธรรมไม่ได้ลดลง จึงไม่สามารถลดรายจ่ายของทางโรงเรียนได้ ทั้งๆ ที่ได้ลงทุนไปมากแล้ว
ทางโรงเรียนจึงแก้ปัญหาด้วยการซื้อแบตเตอรี่มาเก็บไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มแล้ว ด้วยเทคโนโลยีในประเทศไทยในปัจจุบัน อายุการใช้งานยังสั้นและส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
อีกตอนหนึ่งท่านนายกฯ กล่าวว่า “ต้องคำนึงถึงสายส่งด้วย วันนี้เรามีเพียงพอแล้วหรือยังทุกพื้นที่หรือยังถ้ายังไม่มีก็ขายไม่ได้ ก็เอาใช้ในพื้นที่ก่อนไง อย่างที่วัดป่าศรีแสงธรรมทำอยู่ อย่ามุ่งหวังแต่ขายเพียงอย่างเดียว”
ในเรื่องสายส่ง ถ้าเป็นโซลาร์ฟาร์มซึ่งผลิตจำนวนมาก ก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ท่านว่า แต่ถ้าเป็นที่อยู่อาศัย หรือโรงเรียนจะไม่มีปัญหาเลย เพราะแต่ละหลังมีจำนวนนิดเดียว ไฟฟ้ามันจะไหลไปตามธรรมชาติในสายส่ง ไม่ต้องไปทำอะไร มันไหลไปเอง ดังที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาครับ (ปากีสถานด้วย)
แต่ที่เยอรมนีมีพิเศษกว่านั้นครับ เขามีกฎหมายรองรับว่า “ใครก็ตามที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดได้ ให้ส่งไฟฟ้าเข้าระบบได้ก่อน โดยไม่มีการจำกัดจำนวน”
แต่ในบ้านเรากลับตรงกันข้ามครับ พลังงานสกปรกขายได้ก่อน พลังงานสะอาดที่คนธรรมดาสามารถทำได้กลับถูกจำกัดโควตาหรือจำนวน และจัดโควตาให้กับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ในราคารับซื้อที่แพงหูฉี่ แต่คนไทยเราไม่ได้รับรู้เพราะมันมาเร็วมากและไม่ค่อยเป็นข่าวด้วย
เรามาว่ากันด้วยข่าวร้ายก่อนครับ
จากรายงานของหน่วยงานที่มีชื่อย่อว่า NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่ทำงานทางด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศพบว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2016 ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในระดับสูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ
ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมระดับดังกล่าวอยู่ที่ 280 ส่วนในล้านส่วน (พีพีเอ็ม) แต่ในปี 2012 ความเข้มได้สูงถึงประมาณ 391 พีพีเอ็ม โดยค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นใน 10 ปีหลังประมาณปีละ 2 พีพีเอ็ม
แต่ในปี 2015 ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 3.05 พีพีเอ็ม คือเพิ่มขึ้นเยอะกว่าอดีต และที่สำคัญกว่านั้นคือ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ได้เพิ่มขึ้นถึง 3.76 พีพีเอ็มผมได้นำกราฟมาให้ดูด้วย ถ้าเราไม่คิดอะไรเลยในข่าวร้ายนี้ก็ต้องถือว่าน่าเป็นห่วงมาก
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัย คือ (1) เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ (แต่เกิดขึ้นถี่ขึ้นมากในระยะหลังๆ) และ (2) เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งข่าวชิ้นนี้ได้รายงานด้วยว่า กรณีไฟไหม้ป่าในอินโดนีเซีย (ซึ่งไหม้อยู่นานหลายเดือน) ก็มีส่วนทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มสูงขึ้นมากแต่ที่ข่าวชิ้นนี้ไม่ได้พูดถึง (คงเพราะคิดทราบกันดีแล้ว) ก็คือ สาเหตุใหญ่ที่สุดเกิดจากการเผาพลังงานฟอสซิล
ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไม่ได้เป็นสถิติเดียวที่ถูกทำลายในปี 2016 แต่สถิติอื่นๆ เช่น อุณหภูมิสูงสุดของอากาศ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือในบรรดา 15 ครั้งที่ถูกบันทึกว่าเป็นวันที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ในจำนวนนี้ 14 ครั้งเกิดขึ้นหลังปี 2001
จำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งผมได้นำเสนอในคอลัมน์นี้มาแล้วก็เพิ่มสูงขึ้นในลักษณะเดียวกัน
สำหรับประเทศไทยเราเอง ก็กำลังประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงมากในรอบหลายสิบปี จากภาคเหนือสุดถึงภาคใต้สุด จากน้ำเพื่อการเกษตรถึงเพื่อการอุปโภคบริโภค กรุณาอย่าหาว่าผมชอบนำเรื่องราวของต่างประเทศมาอ้าง แต่เป็นเพราะว่าสำนักข่าวต่างประเทศเขาสามารถนำเสนอในเชิงเปรียบเทียบได้ดีกว่า ภาพข้างล่างนี้แสดงให้เห็นภัยแล้งในทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศโบลิเวีย เขาเปรียบให้เห็นระดับน้ำในปี 2013 กับ 2016 ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า มันรุนแรงกว่าเดิมมาก(สังเกตรอยรถยนต์)
ประเด็นที่ผมจะสรุปเน้นในเรื่องปัญหาโลกร้อน 2 ประการ คือ (1) มันกำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่งซึ่งหมายถึงว่าความเร็วหรือความรุนแรงของปัญหามันเพิ่มขึ้นตามเวลา เหมือนๆ กับเราเร่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มความเร็วในเวลาขับรถยนต์นั่นแหละครับ (2) เรามักจะคิดว่า เหตุหนึ่งอย่างทำให้เกิดผลหนึ่งอย่าง เหตุใครเหตุมัน แต่ในสถานการณ์ของระบบที่ซับซ้อนแล้ว เราไม่อาจคิดเช่นนี้ได้ เหตุหนึ่งอย่างอาจส่งผลหลายอย่าง และผลแต่ละอย่างอาจจะเสริมกันจนได้ผลอื่นที่เราไม่คาดคิดได้ จบข่าวร้ายครับ
สำหรับข่าวดีข่าวเดียว มาจากบทความของศาสตราจารย์พอล ครุกแมน ผมได้สรุปมาไว้ในแผ่นสไลด์ดังรูปครับเมื่อ 2 ปีก่อน ท่านได้สารภาพผ่านบทความว่า “แนวความคิดที่จะนำสายลมและแสงแดดให้มามีบทบาทสำคัญในการกอบกู้ปัญหาโลกร้อนนั้น เป็นเรื่องเพ้อฝันของพวกฮิปปี้ แต่ผมผิดไปแล้ว”
ในวันนั้น สิ่งที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดก็คือรายงาน Revolution…Now The Future Arrives for Five Clean Energy Technologies–(2015 Update) ซึ่งเป็นงานวิจัยของกรมพลังงานของสหรัฐอเมริกาเอง
มาวันนี้ ท่านก็มีรายงานมาอ้างอิงเรียบร้อยข้อมูลระบุว่า นับจากปี 2006 ถึง 2015 ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลม และโซลาร์เซลล์ได้ลดลงถึง 61% และ 82% ตามลำดับ ซึ่งเป็นราคาที่สามารถแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลได้
สิ่งที่ศาสตราจารย์พอล ครุกแมนได้แสดงความเห็นไว้ในบทความเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก สหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นจะต้องมีการปฏิวัติทางการเมือง หรือมี“แผ่นดินไหวทางการเมือง (Political Earthquake)” ...ไม่ต้องมีการเสียสละทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่ขอให้ปฏิบัติตาม The Environmental Protection Agency’s Clean Power Plan ของรัฐบาลโอบามา ก็สามารถหนีออกไปจากการใช้ถ่านหินได้แล้ว
นอกจากนี้ท่านได้แสดงความมั่นใจของท่านซึ่งผมขออนุญาตไม่แปลว่า “We can have an energy revolution even if the crazies retain control of the House.” ผมเข้าใจว่าทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกาได้มีแผนงานและระเบียบของทางราชการไว้เรียบร้อยแล้ว
ด้วยแผนการส่งเสริมของสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ในปี 2015 ได้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ใหม่จำนวน 7,260 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้เป็นหลังคาที่อยู่อาศัยถึง 2,000 เมกะวัตต์ เมื่อนำมาเฉลี่ยพบว่าเฉพาะที่อยู่อาศัยอย่างเดียวมีการติดตั้งขนาด 5 กิโลวัตต์เพิ่มขึ้นวันละ 1,096 หลังคาเรือน หรือปีละ 4 หมื่นหลังคาเรือน โดยที่ 43 รัฐได้มีกฎหมายรองรับให้ใช้ระบบ Net Metering ซึ่งผมจะขออธิบายในภายหลัง อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นข่าวดี แต่ยังมีดีกว่านี้อีก
เพื่อเป็นการเสริมข้อมูลของพอล ครุกแมน ผมขอยกข้อมูลเรื่องโซลาร์เซลล์ของประเทศเยอรมนีมาแสดงและเปรียบเทียบกับประเทศไทยด้วยครับ
จากตัวเลขของโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ในประเทศเยอรมนีพบว่า ราคาที่ทางราชการกำหนดรับซื้อไฟฟ้าในประเทศเยอรมนี (ในช่วง 10 ปีจากปี 2005 ถึง 2015) ได้ลดลงถึง 73% ลงมาเหลือเพียง 8.7 ยูโรเซนต์ หรือ 3.40 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาคงที่ตลอดอายุสัญญา 25 ปี โดยไม่จำกัดโควตา ในขณะที่รับซื้อจากหลังคาอาคารในราคา 4.91 บาทต่อหน่วย โดยไม่มีโควตาเช่นเดียวกัน
แต่ราคาที่ทางราชการไทยรับซื้ออยู่ระหว่าง 5.66 ถึง 6.85 บาทต่อหน่วย ตัวเลขน้อยเป็นของโซลาร์ฟาร์มตัวเลขมากเป็นของหลังคาอาคาร โดยมีโควตารวมกันเพียงระดับ 100 เมกะวัตต์
ในข่าวดีชิ้นนี้ยังมีส่วนที่ดีกว่านี้อีก คือจากการศึกษาในรายงานของเยอรมนี เขาได้ศึกษาถึงประเทศไทยด้วย พบว่า ต้นทุนเฉลี่ยตลอดอายุการใช้งาน (LCOE) ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ในปี 2025 จะลดลงมาอยู่ในช่วง 1.76 ถึง 2.27 บาทต่อหน่วยไฟฟ้าเท่านั้น
นอกจากนี้ จากรายงานอีกชิ้นหนึ่ง ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยต้นทุนเฉลี่ยตลอดโครงการ 1.40 บาทต่อหน่วยกำลังจะมีการลงนามสัญญา และเริ่มเดินไฟฟ้าจริงในปี 2021 หากได้จังหวะผมจะนำมาเล่าให้คนไทยได้ทราบกัน จบข่าวดีครับ
หากข่าวดีสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงก็จะสามารถลดความรุนแรงของข่าวร้ายได้อย่างแน่นอน ข่าวดีไม่ได้มีเฉพาะแต่เรื่องโซลาร์เซลล์ แต่ยังมีพลังงานลมและชีวมวลอีกมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง
แต่ที่จะลืมเสียไม่ได้ก็คือ ทั้งข่าวร้ายและข่าวดีต่างก็มาเร็วกว่าที่คนเราคาดคิดดังที่ พอล ครุกแมน ได้สารภาพเมื่อสองปีก่อน
มาถึงเรื่องสุดท้ายซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งผมขอสรุปเป็น ดังนี้
ที่ท่านนายกฯ บอกว่าโรงเรียนศรีแสงธรรม โดยท่านพระครูวิมลปัญญาคุณ เมื่อติดโซลาร์เซลล์แล้ว สามารถลดค่าไฟฟ้าของโรงเรียนจากเดือนละ 6 พันบาท ลงมาเหลือเพียง 40 บาทเท่านั้น
เรื่องนี้เคยเป็นความจริงอย่างที่ท่านนายกฯ พูด แต่วันนี้ไม่ใช่แล้วครับเป็นอดีตไปแล้ว แต่ก่อนจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เรามาทำความเข้าใจกับระบบการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์กันก่อนครับ โดยเฉพาะคำว่า Net Metering ซึ่งเป็นระบบแลกเปลี่ยนและคิดค่าไฟฟ้าระหว่างเจ้าของบ้านที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า กับการไฟฟ้าฯ ผู้ให้บริการ กรุณาทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนครับ ง่ายๆ
ก่อนที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ทางโรงเรียนใช้ไฟฟ้าประมาณเดือนละ 1,500 หน่วย (สมมติ คิดเป็นเงินก็ประมาณ 6 พันบาท) ถ้าสามารถผลิตเองได้ 1,496 หน่วย จำนวนพลังงานไฟฟ้าสุทธิ (Net) ที่ทางโรงเรียนจะต้องจ่ายก็คือ 4 หน่วย เมื่อรวมกับค่ารักษามิเตอร์อีกก็จะประมาณ 40 บาท ตามที่ท่านนายกฯ พูด
แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็นอดีตไปแล้วครับ เพราะทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มาเปลี่ยนมิเตอร์เป็นแบบดิจิตอล เมื่อไฟฟ้าที่ผลิตเองได้แต่ไม่ได้ใช้ก็ยังคงไหลเข้าสู่ระบบสายส่งดังเดิม ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับไฟฟ้าไปและนำไปขายให้ผู้ใช้รายอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเสาร์และอาทิตย์แต่ตัวเลขในมิเตอร์ของโรงเรียนศรีแสงธรรมไม่ได้ลดลง จึงไม่สามารถลดรายจ่ายของทางโรงเรียนได้ ทั้งๆ ที่ได้ลงทุนไปมากแล้ว
ทางโรงเรียนจึงแก้ปัญหาด้วยการซื้อแบตเตอรี่มาเก็บไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มแล้ว ด้วยเทคโนโลยีในประเทศไทยในปัจจุบัน อายุการใช้งานยังสั้นและส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
อีกตอนหนึ่งท่านนายกฯ กล่าวว่า “ต้องคำนึงถึงสายส่งด้วย วันนี้เรามีเพียงพอแล้วหรือยังทุกพื้นที่หรือยังถ้ายังไม่มีก็ขายไม่ได้ ก็เอาใช้ในพื้นที่ก่อนไง อย่างที่วัดป่าศรีแสงธรรมทำอยู่ อย่ามุ่งหวังแต่ขายเพียงอย่างเดียว”
ในเรื่องสายส่ง ถ้าเป็นโซลาร์ฟาร์มซึ่งผลิตจำนวนมาก ก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ท่านว่า แต่ถ้าเป็นที่อยู่อาศัย หรือโรงเรียนจะไม่มีปัญหาเลย เพราะแต่ละหลังมีจำนวนนิดเดียว ไฟฟ้ามันจะไหลไปตามธรรมชาติในสายส่ง ไม่ต้องไปทำอะไร มันไหลไปเอง ดังที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาครับ (ปากีสถานด้วย)
แต่ที่เยอรมนีมีพิเศษกว่านั้นครับ เขามีกฎหมายรองรับว่า “ใครก็ตามที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดได้ ให้ส่งไฟฟ้าเข้าระบบได้ก่อน โดยไม่มีการจำกัดจำนวน”
แต่ในบ้านเรากลับตรงกันข้ามครับ พลังงานสกปรกขายได้ก่อน พลังงานสะอาดที่คนธรรมดาสามารถทำได้กลับถูกจำกัดโควตาหรือจำนวน และจัดโควตาให้กับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ในราคารับซื้อที่แพงหูฉี่ แต่คนไทยเราไม่ได้รับรู้เพราะมันมาเร็วมากและไม่ค่อยเป็นข่าวด้วย