xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งข่าวร้ายกับหนึ่งข่าวดี...ข่าวสำคัญที่ทุกคนยากจะหลีกได้พ้น / ประสาท มีแต้ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

 
คอลัมน์  :  โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท  มีแต้ม
-------------------------------------------
 
 
นอกจากสองข่าวที่ผมได้นำมาเป็นชื่อบทความนี้แล้ว ในตอนท้ายผมจะแสดงความเห็นต่อคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” (11 มี.ค.59) ในกรณีโซลาร์เซลล์ว่าท่านนายกฯ ยังเข้าใจไม่ถูกต้องอย่างไร

เรามาว่ากันด้วยข่าวร้ายก่อนครับ

จากรายงานของหน่วยงานที่มีชื่อย่อว่า NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่ทำงานทางด้านมหาสมุทร และชั้นบรรยากาศพบว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2016 ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในระดับสูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ

ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมระดับดังกล่าวอยู่ที่ 280 ส่วนในล้านส่วน (พีพีเอ็ม) แต่ในปี 2012 ความเข้มได้สูงถึงประมาณ 391 พีพีเอ็ม โดยค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นใน 10 ปีหลังประมาณปีละ 2 พีพีเอ็ม

แต่ในปี 2015 ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 3.05 พีพีเอ็ม คือ เพิ่มขึ้นเยอะกว่าอดีต และที่สำคัญกว่านั้นคือ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ได้เพิ่มขึ้นถึง 3.76 พีพีเอ็มผมได้นำกราฟมาให้ดูด้วย ถ้าเราไม่คิดอะไรเลยในข่าวร้ายนี้ก็ต้องถือว่าน่าเป็นห่วงมาก
 

 
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัย คือ (1) เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ (แต่เกิดขึ้นถี่ขึ้นมากในระยะหลังๆ) และ (2) เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งข่าวชิ้นนี้ได้รายงานด้วยว่า กรณีไฟไหม้ป่าในอินโดนีเซีย (ซึ่งไหม้อยู่นานหลายเดือน) ก็มีส่วนทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มสูงขึ้นมากแต่ที่ข่าวชิ้นนี้ไม่ได้พูดถึง (คงเพราะคิดทราบกันดีแล้ว) ก็คือ สาเหตุใหญ่ที่สุดเกิดจากการเผาพลังงานฟอสซิล

ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไม่ได้เป็นสถิติเดียวที่ถูกทำลายในปี 2016 แต่สถิติอื่นๆ เช่น อุณหภูมิสูงสุดของอากาศก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือ ในบรรดา 15 ครั้งที่ถูกบันทึกว่าเป็นวันที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ในจำนวนนี้ 14 ครั้งเกิดขึ้นหลังปี 2001

จำนวนครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งผมได้นำเสนอในคอลัมน์นี้มาแล้วก็เพิ่มสูงขึ้นในลักษณะเดียวกัน

สำหรับประเทศไทยเราเองก็กำลังประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงมากในรอบหลายสิบปี จากภาคเหนือสุด ถึงภาคใต้สุด จากน้ำเพื่อการเกษตรถึงเพื่อการอุปโภคบริโภค กรุณาอย่าหาว่าผมชอบนำเรื่องราวของต่างประเทศมาอ้าง แต่เป็นเพราะว่าสำนักข่าวต่างประเทศเขาสามารถนำเสนอในเชิงเปรียบเทียบได้ดีกว่า ภาพข้างล่างนี้แสดงให้เห็นภัยแล้งในทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศโบลิเวีย เขาเปรียบให้เห็นระดับน้ำในปี 2013 กับ 2016 ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า มันรุนแรงกว่าเดิมมาก (สังเกตรอยรถยนต์)
 

 
ประเด็นที่ผมจะสรุปเน้นในเรื่องปัญหาโลกร้อน 2 ประการ คือ (1) มันกำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่งซึ่งหมายถึงว่าความเร็ว หรือความรุนแรงของปัญหามันเพิ่มขึ้นตามเวลา เหมือนๆ กับเราเร่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มความเร็วในเวลาขับรถยนต์นั่นแหละครับ (2) เรามักจะคิดว่า เหตุหนึ่งอย่างทำให้เกิดผลหนึ่งอย่าง เหตุใครเหตุมัน แต่ในสถานการณ์ของระบบที่ซับซ้อนแล้วเราไม่อาจคิดเช่นนี้ได้ เหตุหนึ่งอย่างอาจส่งผลหลายอย่าง และผลแต่ละอย่างอาจจะเสริมกันจนได้ผลอื่นที่เราไม่คาดคิดได้ จบข่าวร้ายครับ

สำหรับข่าวดีข่าวเดียว มาจากบทความของศาสตราจารย์พอล ครุกแมน ผมได้สรุปมาไว้ในแผ่นสไลด์ดังรูปครับเมื่อ 2 ปีก่อน ท่านได้สารภาพผ่านบทความว่า “แนวความคิดที่จะนำสายลม และแสงแดดให้มามีบทบาทสำคัญในการกอบกู้ปัญหาโลกร้อนนั้น เป็นเรื่องเพ้อฝันของพวกฮิปปี้ แต่ผมผิดไปแล้ว” 

ในวันนั้น สิ่งที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดก็คือ รายงาน Revolution…Now The Future Arrives for Five Clean Energy Technologies-(2015 Update) ซึ่งเป็นงานวิจัยของกรมพลังงานของสหรัฐอเมริกาเอง

มาวันนี้ ท่านก็มีรายงานมาอ้างอิงเรียบร้อยข้อมูลระบุว่า นับจากปี 2006 ถึง 2015 ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลม และโซลาร์เซลล์ได้ลดลงถึง 61% และ 82% ตามลำดับ ซึ่งเป็นราคาที่สามารถแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลได้
 

 
สิ่งที่ศาสตราจารย์พอล ครุกแมน ได้แสดงความเห็นไว้ในบทความเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก สหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นจะต้องมีการปฏิวัติทางการเมือง หรือมี“แผ่นดินไหวทางการเมือง (Political Earthquake)” ...ไม่ต้องมีการเสียสละทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่ขอให้ปฏิบัติตาม The Environmental Protection Agency’s Clean Power Plan ของรัฐบาลโอบามา ก็สามารถหนีออกไปจากการใช้ถ่านหินได้แล้ว

นอกจากนี้ ท่านได้แสดงความมั่นใจของท่านซึ่งผมขออนุญาตไม่แปลว่า “We can have an energy revolution even if the crazies retain control of the House.” ผมเข้าใจว่าทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกาได้มีแผนงาน และระเบียบของทางราชการไว้เรียบร้อยแล้ว

ด้วยแผนการส่งเสริมของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ในปี 2015 ได้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ใหม่จำนวน 7,260 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้เป็นหลังคาที่อยู่อาศัยถึง 2,000 เมกะวัตต์ เมื่อนำมาเฉลี่ยพบว่าเฉพาะที่อยู่อาศัยอย่างเดียวมีการติดตั้งขนาด 5 กิโลวัตต์ เพิ่มขึ้นวันละ 1,096 หลังคาเรือน หรือปีละ 4 หมื่นหลังคาเรือน โดยที่ 43 รัฐได้มีกฎหมายรองรับให้ใช้ระบบ Net Metering ซึ่งผมจะขออธิบายในภายหลัง อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นข่าวดี แต่ยังมีดีกว่านี้อีก

เพื่อเป็นการเสริมข้อมูลของพอล ครุกแมน ผมขอยกข้อมูลเรื่องโซลาร์เซลล์ของประเทศเยอรมนีมาแสดง และเปรียบเทียบกับประเทศไทยด้วยครับ
 

 
จากตัวเลขของโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ในประเทศเยอรมนี พบว่า ราคาที่ทางราชการกำหนดรับซื้อไฟฟ้าในประเทศเยอรมนี (ในช่วง 10 ปี จากปี 2005 ถึง 2015) ได้ลดลงถึง 73% ลงมาเหลือเพียง 8.7 ยูโรเซ็นต์ หรือ 3.40 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาคงที่ตลอดอายุสัญญา 25 ปี โดยไม่จำกัดโควตา ในขณะที่รับซื้อจากหลังคาอาคารในราคา 4.91 บาทต่อหน่วย โดยไม่มีโควตาเช่นเดียวกัน

แต่ราคาที่ทางราชการไทยรับซื้ออยู่ระหว่าง 5.66 ถึง 6.85 บาทต่อหน่วย ตัวเลขน้อยเป็นของโซลาร์ฟาร์ม ตัวเลขมากเป็นของหลังคาอาคาร โดยมีโควตารวมกันเพียงระดับ 100 เมกะวัตต์

ในข่าวดีชิ้นนี้ยังมีส่วนที่ดีกว่านี้อีก คือ จากการศึกษาในรายงานของเยอรมนี เขาได้ศึกษาถึงประเทศไทยด้วย พบว่า ต้นทุนเฉลี่ยตลอดอายุการใช้งาน (LCOE) ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ในปี 2025 จะลดลงมาอยู่ในช่วง 1.76 ถึง 2.27 บาทต่อหน่วยไฟฟ้าเท่านั้น

นอกจากนี้ จากรายงานอีกชิ้นหนึ่ง ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยต้นทุนเฉลี่ยตลอดโครงการ 1.40 บาทต่อหน่วยกำลังจะมีการลงนามสัญญา และเริ่มเดินไฟฟ้าจริงในปี 2021 หากได้จังหวะผมจะนำมาเล่าให้คนไทยได้ทราบกัน จบข่าวดีครับ

หากข่าวดีสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงก็จะสามารถลดความรุนแรงของข่าวร้ายได้อย่างแน่นอน ข่าวดีไม่ได้มีเฉพาะแต่เรื่องโซลาร์เซลล์ แต่ยังมีพลังงานลม และชีวมวลอีกมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง

แต่ที่จะลืมเสียไม่ได้ก็คือ ทั้งข่าวร้าย และข่าวดีต่างก็มาเร็วกว่าที่คนเราคาดคิดดังที่ พอล ครุกแมน ได้สารภาพเมื่อสองปีก่อน

มาถึงเรื่องสุดท้ายซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งผมขอสรุปเป็น ดังนี้

ที่ท่านนายกฯ บอกว่าโรงเรียนศรีแสงธรรม โดยท่านพระครูวิมลปัญญาคุณ เมื่อติดโซลาร์เซลล์แล้ว สามารถลดค่าไฟฟ้าของโรงเรียนจากเดือนละ 6 พันบาท ลงมาเหลือเพียง 40 บาทเท่านั้น

เรื่องนี้เคยเป็นความจริงอย่างที่ท่านนายกฯ พูด แต่วันนี้ไม่ใช่แล้วครับเป็นอดีตไปแล้ว แต่ก่อนจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เรามาทำความเข้าใจต่อระบบการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์กันก่อนครับ โดยเฉพาะคำว่า Net Metering ซึ่งเป็นระบบแลกเปลี่ยนและคิดค่าไฟฟ้าระหว่างเจ้าของบ้านที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า กับการไฟฟ้าฯ ผู้ให้บริการ กรุณาทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนครับ ง่ายๆ
 

 
ก่อนที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ทางโรงเรียนใช้ไฟฟ้าประมาณเดือนละ 1,500 หน่วย (สมมติ คิดเป็นเงินก็ประมาณ 6 พันบาท) ถ้าสามารถผลิตเองได้ 1,496 หน่วย จำนวนพลังงานไฟฟ้าสุทธิ (Net) ที่ทางโรงเรียนจะต้องจ่ายก็คือ 4 หน่วย เมื่อรวมกับค่ารักษามิเตอร์อีกก็จะประมาณ 40 บาท ตามที่ท่านนายกฯ พูด

แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็นอดีตไปแล้วครับ เพราะทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้มาเปลี่ยนมิเตอร์เป็นแบบดิจิตอล เมื่อไฟฟ้าที่ผลิตเองได้แต่ไม่ได้ใช้ก็ยังคงไหลเข้าสู่ระบบสายส่งดังเดิม ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับไฟฟ้าไป และนำไปขายให้ผู้ใช้รายอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเสาร์และอาทิตย์แต่ตัวเลขในมิเตอร์ของโรงเรียนศรีแสงธรรมไม่ได้ลดลง จึงไม่สามารถลดรายจ่ายของทางโรงเรียนได้ ทั้งๆ ที่ได้ลงทุนไปมากแล้ว

ทางโรงเรียนจึงแก้ปัญหาด้วยการซื้อแบตเตอรี่มาเก็บไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มแล้ว ด้วยเทคโนโลยีในประเทศไทยในปัจจุบัน อายุการใช้งานยังสั้น และส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

อีกตอนหนึ่งท่านนายกฯ กล่าวว่า “ต้องคำนึงถึงสายส่งด้วย วันนี้เรามีเพียงพอแล้วหรือยัง ทุกพื้นที่หรือยัง ถ้ายังไม่มีก็ขายไม่ได้ ก็เอาใช้ในพื้นที่ก่อนไง อย่างที่วัดป่าศรีแสงธรรมทำอยู่ อย่ามุ่งหวังแต่ขายเพียงอย่างเดียว”

ในเรื่องสายส่ง ถ้าเป็นโซลาร์ฟาร์มซึ่งผลิตจำนวนมากก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ท่านว่า แต่ถ้าเป็นที่อยู่อาศัย หรือโรงเรียนจะไม่มีปัญหาเลย เพราะแต่ละหลังมีจำนวนนิดเดียว ไฟฟ้ามันจะไหลไปตามธรรมชาติในสายส่ง ไม่ต้องไปทำอะไร มันไหลไปเอง ดังที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี และสหรัฐอเมริกาครับ (ปากีสถานด้วย)

แต่ที่เยอรมนีมีพิเศษกว่านั้นครับ เขามีกฎหมายรองรับว่า “ใครก็ตามที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาดได้ ให้ส่งไฟฟ้าเข้าระบบได้ก่อนโดยไม่มีการจำกัดจำนวน”


แต่ในบ้านเรากลับตรงกันข้ามครับ พลังงานสกปรกขายได้ก่อน พลังงานสะอาดที่คนธรรมดาสามารถทำได้กลับถูกจำกัดโควตา หรือจำนวน และจัดโควตาให้แก่กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ในราคารับซื้อที่แพงหูฉี่ แต่คนไทยเราไม่ได้รับรู้เพราะมันมาเร็วมาก และไม่ค่อยเป็นข่าวด้วย
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น