เมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อพิจารณา ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ... เสนอโดยคณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีตัวแทนจากคสช. คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะรองหัวหน้าคสช. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคสช. และตัวแทนจากรัฐบาลคือนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจง
ทั้งนี้ นายวิษณุ ได้ชี้แจงหลักการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเป็นการแก้ไขส่วนของการลงประชามติ เหตุผลเนื่องจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2557 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับแรก ปี พ.ศ. 2558 นั้น อาจจะมีบทบัญญัติเหมาะสมที่จะมีการทำประชามติในขณะนั้น แต่ปรากฏว่าไม่เกิดขึ้น เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญถูกตีตก ในชั้นของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งถ้าใช้บทบัญญัติเดิม ไม่สอดคล้องสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีการแก้เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะแก้เพียง มาตรา 39/1 เพียงมาตราเดียว แต่เป็นการยกเลิกของเก่า และเพิ่มวรรคใหม่ จำนวน 9 วรรค เพื่อทำให้ยืดยาวและละเอียดชัดเจน จนสามารถทำประชามติได้ราบรื่น โดยมีการแก้ในหลายประเด็น คือ การยึดคะแนนเสียงข้างมาก ของผู้ใช้สิทธิ์ออกเสียงประชามติ อายุของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงประชามติ การแจกจ่าย และเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญให้กับประชาชนโดยวิธีการอื่นๆ ตาม กกต.กำหนด ให้สนช. สามารถกำหนดประเด็นคำถาม ให้ประชาชนตัดสินใจ พร้อมกับการลงประชามติ ร่าง รัฐธรรมนูญ และให้ ครม.เสนอกฎหมายเกี่ยวกับการทำประชามติ โดยให้ทางสนช. เป็นผู้พิจารณา ซึ่งคาดว่าจะมีทั้งหมด 60 มาตรา โดยจะมีการเสนอในที่ประชุมครม. ภายในวันอังคารนี้ ก่อน ที่จะเสนอมายัง สนช. ต่อไป
การอภิปรายในวาระรับหลักการ วาระแรก มีผู้อภิปรายทั้งสิ้น13 คน โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยที่มีการปรับแก้หลักคะแนนเสียงประชามติให้ชัดเจน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่มีการแก้ไข เช่น การกำหนดนับอายุผู้ออกเสียงอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี การเผยแพร่สาระสำคัญของร่าง รัฐธรรมนูญก่อนการออกเสียงประชามติ การให้มีกลไกควบคุมช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยมองว่าไม่ใช่เป็นการสืบทอดอำนาจ แต่มองว่าทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น
หลังจากสมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว ที่ประชุมได้ลงคะแนนตามลำดับ และ มีมติเอกฉันท์ 194 เสียง รับหลักการ วาระ 1 และงดออกเสียง 3 เสียง จากนั้นได้มีการพิจารณา วาระ 2 โดยมีการตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภา พิจารณารายมาตรา และมีการแก้ไขเพิ่มเติมใน มาตรา 4 โดย ครม. และคสช. ขอปรับแก้ไขเพิ่มเติมจำนวน 3 วรรค คือ ในวรรคเจ็ด การจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ว่าจะให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยต้องกระทำในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ในการนี้สนช.จะมีมติเสนอประเด็นอื่นใดไม่เกิน 1 ประเด็น ที่สมควรให้กกต.จัดให้มีการออกเสียงประชามติเพิ่มเติม ว่าจะให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ พร้อมไปในคราวเดียวกันด้วยก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องเสนอภายใน 10 วัน นับแต่วันถัดจากวันที่ได้รับแจ้งจาก กรธ. ตามวรรคสาม เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ให้สนช.รับฟังความเห็นของ สปท. ประกอบการพิจารณาด้วย วรรคเก้า ของมาตรา 39/1 ในมาตรา 4 ของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ "ถ้าผลการออกเสียงประชามติ มีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ มากกว่าคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ ให้นายกรัฐมนตรี นำร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
วรรคสิบสอง ให้นำมาตรา 39 มาใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วย โดยอนุโลม และในกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสนอประเด็นเพิ่มเติม ให้นำ มาตรา 37/1 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ให้ถือคะแนนเสียงข้างมาก ระหว่างคะแนนเสียงเห็นชอบกับไม่เห็นชอบ เป็นเกณฑ์ และไม่ต้องให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรธ. ซึ่งสมาชิกได้ลงมติเห็นชอบตามที่ คสช. และครม. เสนอ
หลังจากนั้นได้มีการลงมติใน วาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 192 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง จากนั้นนายกรัฐมนตรี จะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ภายใน15 วัน นับแต่วันที่มีมติ เพื่อทูลเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อใช้บังคับต่อไป
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวถึงการแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ไม่มีทางออก หากร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่านประชามติ ว่า มั่นใจในระดับหนึ่งว่า ร่างรธน.จะผ่านประชามติ ไม่เช่นนั้นจะแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวเช่นนี้ทำไม เพราะ สนช. แก้ไขตามหลัก ซึ่งถ้าแทรกบทบัญญัติอื่นไป อาจสับสน เพราะฉะนั้นยังไม่ใช่ที่เรื่องนี้จะปรากฏในการแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวครั้งนี้ ซึ่งตนเห็นว่าหากร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านประชามติ เชื่อว่า คสช. และครม. มีทางออกไว้อยู่แล้ว แต่เขาคงยังไม่บอกตอนนี้
ทั้งนี้ นายวิษณุ ได้ชี้แจงหลักการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเป็นการแก้ไขส่วนของการลงประชามติ เหตุผลเนื่องจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2557 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับแรก ปี พ.ศ. 2558 นั้น อาจจะมีบทบัญญัติเหมาะสมที่จะมีการทำประชามติในขณะนั้น แต่ปรากฏว่าไม่เกิดขึ้น เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญถูกตีตก ในชั้นของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งถ้าใช้บทบัญญัติเดิม ไม่สอดคล้องสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีการแก้เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะแก้เพียง มาตรา 39/1 เพียงมาตราเดียว แต่เป็นการยกเลิกของเก่า และเพิ่มวรรคใหม่ จำนวน 9 วรรค เพื่อทำให้ยืดยาวและละเอียดชัดเจน จนสามารถทำประชามติได้ราบรื่น โดยมีการแก้ในหลายประเด็น คือ การยึดคะแนนเสียงข้างมาก ของผู้ใช้สิทธิ์ออกเสียงประชามติ อายุของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงประชามติ การแจกจ่าย และเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญให้กับประชาชนโดยวิธีการอื่นๆ ตาม กกต.กำหนด ให้สนช. สามารถกำหนดประเด็นคำถาม ให้ประชาชนตัดสินใจ พร้อมกับการลงประชามติ ร่าง รัฐธรรมนูญ และให้ ครม.เสนอกฎหมายเกี่ยวกับการทำประชามติ โดยให้ทางสนช. เป็นผู้พิจารณา ซึ่งคาดว่าจะมีทั้งหมด 60 มาตรา โดยจะมีการเสนอในที่ประชุมครม. ภายในวันอังคารนี้ ก่อน ที่จะเสนอมายัง สนช. ต่อไป
การอภิปรายในวาระรับหลักการ วาระแรก มีผู้อภิปรายทั้งสิ้น13 คน โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยที่มีการปรับแก้หลักคะแนนเสียงประชามติให้ชัดเจน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่มีการแก้ไข เช่น การกำหนดนับอายุผู้ออกเสียงอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี การเผยแพร่สาระสำคัญของร่าง รัฐธรรมนูญก่อนการออกเสียงประชามติ การให้มีกลไกควบคุมช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยมองว่าไม่ใช่เป็นการสืบทอดอำนาจ แต่มองว่าทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น
หลังจากสมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว ที่ประชุมได้ลงคะแนนตามลำดับ และ มีมติเอกฉันท์ 194 เสียง รับหลักการ วาระ 1 และงดออกเสียง 3 เสียง จากนั้นได้มีการพิจารณา วาระ 2 โดยมีการตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภา พิจารณารายมาตรา และมีการแก้ไขเพิ่มเติมใน มาตรา 4 โดย ครม. และคสช. ขอปรับแก้ไขเพิ่มเติมจำนวน 3 วรรค คือ ในวรรคเจ็ด การจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ว่าจะให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยต้องกระทำในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ในการนี้สนช.จะมีมติเสนอประเด็นอื่นใดไม่เกิน 1 ประเด็น ที่สมควรให้กกต.จัดให้มีการออกเสียงประชามติเพิ่มเติม ว่าจะให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ พร้อมไปในคราวเดียวกันด้วยก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องเสนอภายใน 10 วัน นับแต่วันถัดจากวันที่ได้รับแจ้งจาก กรธ. ตามวรรคสาม เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ให้สนช.รับฟังความเห็นของ สปท. ประกอบการพิจารณาด้วย วรรคเก้า ของมาตรา 39/1 ในมาตรา 4 ของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ "ถ้าผลการออกเสียงประชามติ มีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ มากกว่าคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ ให้นายกรัฐมนตรี นำร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ”
วรรคสิบสอง ให้นำมาตรา 39 มาใช้บังคับแก่การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วย โดยอนุโลม และในกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสนอประเด็นเพิ่มเติม ให้นำ มาตรา 37/1 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ให้ถือคะแนนเสียงข้างมาก ระหว่างคะแนนเสียงเห็นชอบกับไม่เห็นชอบ เป็นเกณฑ์ และไม่ต้องให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรธ. ซึ่งสมาชิกได้ลงมติเห็นชอบตามที่ คสช. และครม. เสนอ
หลังจากนั้นได้มีการลงมติใน วาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 192 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง จากนั้นนายกรัฐมนตรี จะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ภายใน15 วัน นับแต่วันที่มีมติ เพื่อทูลเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อใช้บังคับต่อไป
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวถึงการแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ไม่มีทางออก หากร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่านประชามติ ว่า มั่นใจในระดับหนึ่งว่า ร่างรธน.จะผ่านประชามติ ไม่เช่นนั้นจะแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวเช่นนี้ทำไม เพราะ สนช. แก้ไขตามหลัก ซึ่งถ้าแทรกบทบัญญัติอื่นไป อาจสับสน เพราะฉะนั้นยังไม่ใช่ที่เรื่องนี้จะปรากฏในการแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวครั้งนี้ ซึ่งตนเห็นว่าหากร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านประชามติ เชื่อว่า คสช. และครม. มีทางออกไว้อยู่แล้ว แต่เขาคงยังไม่บอกตอนนี้