xs
xsm
sm
md
lg

จากทักษิณถึงธัมมชโยและสรยุทธ

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

สังคมไทยเดินทางมาสู่ทางแยกที่ไม่มีวันบรรจบกันร่วมสิบปีแล้ว จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

ตั้งแต่ทักษิณเข้าสู่การเมือง จนเกิดขบวนการต่อต้านทักษิณ และสนับสนุนทักษิณทำให้สังคมไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน ไม่แต่ความคิดทางการเมืองเท่านั้นที่มีความเห็นต่างกัน กระทั่งหลักของศีลธรรมความผิดถูกชั่วดีก็ไม่มีความแน่นอนอีกแล้ว จนอาจจะพูดได้ว่าสังคมไทยไม่มีบรรทัดฐานอีกต่อไป

คนจำนวนหนึ่งมองการกระทำแบบหนึ่งว่าเป็นความเลว แต่มีคนอีกจำนวนหนึ่งมองเห็นการกระทำแบบเดียวกันนั้นว่าเป็นความดี

สังคมไทยจึงเดินมาถึงจุดที่ “ความดีเลว” เป็นเรื่องของต่างความคิดต่างคนต่างฝ่ายมีมาตรฐานของตัวเอง ความเข้าใจว่าดีคือดี เลวคือเลว ขาวคือขาว ดำคือดำซึ่งเป็นเรื่องของหลักธรรมก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป

จากที่เราเคยมีความเห็นร่วมกันของสังคมว่า การฉ้อโกงเป็นความผิด ซึ่งน่าจะเป็นกฎเกณฑ์ของโลกด้วยซ้ำ แต่เมื่อเรามาเรียนรู้สังคมไทยอาจต้องบอกว่าคำกล่าวนั้นอาจจะไม่ถูกต้องเสียแล้ว เพราะอาจจะมีเสียงอีกด้านหนึ่งบอกว่าไม่ผิดก็ได้

เราลองย้อนไปไล่เรียงดูจากกรณีของทักษิณ มาถึงกรณีธัมมชโย มาจนถึงกรณีของสรยุทธ

กระทั่งอาจจะพูดได้ว่าสังคมไทยกลายเป็นสังคมสองมาตรฐานจนไม่สามารถพูดได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะต่างเชื่อมั่นว่า ฝ่ายที่ตัวเองยืนอยู่นั้นถูก แม้จะยืนกันคนละฟากก็ตาม หรือความถูกผิดซึ่งน่าจะเป็นสัจธรรมนั้นไม่มีอยู่จริงเสียแล้ว

กรณีของทักษิณนั้นคนฟากหนึ่งมองว่าทักษิณเป็นคนดี คนฟากหนึ่งมองว่าทักษิณเป็นคนเลว แม้จะแสดงให้เห็นถึงหลักฐานมากมายว่า ทักษิณใช้อำนาจทำให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์มากขึ้น มีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างอำนาจทางการเมืองกับกิจการของตัวเอง ทักษิณร่ำรวยขึ้นมหาศาลในระหว่างที่มีอำนาจ เพราะทักษิณแก้กฎหมายให้บริษัทของตัวเองได้ประโยชน์ แต่คนส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าทักษิณเป็นคนดี

แม้ศาลจะตัดสินแล้วว่า ทักษิณมีความผิดจากการใช้อำนาจมิชอบ ทักษิณใช้อำนาจจนธุรกิจของตัวเองได้ประโยชน์จนศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ยังมีคนเชื่อว่าทักษิณไม่ผิดแต่ถูกกลั่นแกล้ง

กระทั่งบอกว่า ทักษิณถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเพราะอำนาจเก่าอิจฉาที่ทักษิณทำให้คนจนอยู่ดีกินดีขึ้น จนกระทั่งทำให้คนจนส่วนใหญ่ในประเทศนี้รักทักษิณมากกว่าอำนาจเก่า ทักษิณจึงถูกฝ่ายอำนาจเก่าทำลาย

หรือแม้ว่าทักษิณจะโกงแต่ถ้าการโกงนั้นทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ด้วย ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

กลายเป็นว่า ความรักต่อทักษิณนั้นมีอานุภาพเหนือกว่าการกระทำของทักษิณแม้สิ่งที่ทำนั้นอาจไม่ถูกต้อง แต่ด้วยความรักและการเลือกข้างเป็นพวกเดียวกันแล้วแม้จะทำผิดก็ให้อภัยได้

คนจำนวนมากยังโหยหาทักษิณ อยากให้ทักษิณกลับมามีอำนาจ และพร้อมจะสนับสนุนพรรคของทักษิณต่อไป ในขณะที่คนจำนวนมากมองว่า ทักษิณเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย ราวกับว่าความผิดถูกของคนสองขั้วในสังคมไทยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

กรณีของธัมมชโยนั้นน่าจะชัดเจนตั้งแต่ตอนแรกแล้วที่ถูกดำเนินคดีว่า ยักยอกเงินและทรัพย์สินของวัด ความผิดเกิดขึ้นแล้วอย่างชัดเจน แม้ว่าต่อมาอัยการจะสั่งถอนฟ้องอย่างน่ากังขา ก็ไม่น่าจะบอกได้ว่า ธัมมชโยไม่ผิด แต่แปลกที่มีคนจำนวนหนึ่งมองว่าสิ่งที่ธัมมชโยทำนั้นถูก สิ่งที่ธัมมชโยประสบนั้นเหมือนกับถูกมารผจญ

ต่อมาธัมมชโยรับเงินที่โกงมาจากสหกรณ์หลายพันล้านบาท สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกศิษย์ที่นับถือช่วยกันบริจาคเงินเพื่อนำไปคืนแทนธัมมชโย เหมือนธรรมะที่พร่ำสอนกันนั้นไม่อาจทำให้คนเราแยกแยะผิดถูกได้เลย

ดังนั้น ไม่แปลกที่แม้ว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็นสัจธรรม แต่ธัมมโชยก็มาบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ คนจำนวนมากก็ยังเชื่อว่า สิ่งที่ธัมมชโยสอนนั้นเป็นเรื่องที่ถูก

ธัมมชโยหลอกลวงว่า ยิ่งทำบุญมากยิ่งได้ขึ้นสวรรค์ชั้นที่สูงมาก ซึ่งน่าจะเข้าข่ายหลอกลวง แต่คนจำนวนหนึ่งก็ยังศรัทธาและนับถือธัมมชโย แม้สิ่งที่ทำนั้นน่าจะเข้าข่ายความผิดแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าชี้ความผิด แต่ต่อให้ชี้ว่าผิดก็ยังมีคนจำนวนมากยืนข้างธัมมโชย

คนจำนวนมากยังคงหลงใหลในตัวธัมมชโย หลายคนเป็นคนชั้นนำของสังคมไทยมีพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่จำนวนมาก รวมถึงสมเด็จช่วงที่กำลังไต่บันไดสังฆราชก็ยืนอยู่ข้างธัมมชโย ในขณะที่พระที่เป็นปัญญาชนจำนวนมากบอกว่าสิ่งที่ธัมมชโยสอนนั้นผิด มีคนเปิดโปงว่ามีการหลอกลวงคนที่เลื่อมใสอย่างไร แต่ดูเหมือนคนที่เชื่อและไม่เชื่อจะมีมาตรฐานความถูกผิดที่แตกต่างกันคนละขั้ว

กลายเป็นว่าฝ่ายที่ต่อต้านธัมมชโยนั้นอิจฉาที่ธัมมชโยมีคนนับถือมาก

นอกจากนั้นยังชัดเจนว่า คนที่สนับสนุนธัมมชโยส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณ

กรณีของสรยุทธก็มีความเห็นทั้งสองด้านที่แตกต่างกัน แต่พูดได้เลยว่า ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณนั้นยืนอยู่ข้างสรยุทธ แต่ฝ่ายที่ไม่เอาทักษิณนั้นยืนอยู่ตรงข้ามกับสรยุทธ

ขณะที่ฝ่ายไม่เอาทักษิณเรียกร้องให้สรยุทธ แสดงจุดยืนรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำลงไปหลังศาลมีคำพิพากษาตัดสินให้จำคุก ไม่ควรมาทำหน้าที่สื่อซึ่งมีหน้าที่ชี้นำสังคมอีกต่อไป ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณบอกว่า คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุดยังมีศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ยังไม่สามารถบอกได้สรยุทธผิดจึงมีความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

กระทั่งสื่อที่เลือกข้างทักษิณอย่างเครือมติชนยังออกมาปกป้องสรยุทธ และเคยเผยแพร่บทความทำนองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับสรยุทธนั้นเพราะสื่อและชนชั้นกลางอิจฉาสรยุทธที่ได้รับความนิยมและร่ำรวย พร้อมกับกล่าวหาว่า คนที่อิจฉาสรยุทธเป็นพวกเลือกข้างทางการเมือง ก็คือพวกไม่เอาทักษิณนั่นเอง ส่วนมติชนเองเป็นสื่อที่เลือกข้างทางการเมืองหรือไม่ แล้วเลือกข้างไหนนั้นสังคมก็คงรู้กันอยู่แล้ว

สรยุทธทำผิดแล้วมีคำพิพากษาตัดสิน แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยืนข้างสรยุทธ และปกป้องให้สรยุทธทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป โดยไม่ต้องไปฟังเสียงของฝ่ายต่อต้านที่เรียกร้องจริยธรรม ขณะที่คนจำนวนหนึ่งอ้างคุณสมบัติของสรยุทธในขณะนี้ไม่ควรทำหน้าที่สื่ออีกต่อไป

ดังนั้น เกือบจะพูดได้เลยว่า ทักษิณ-ธัมมชโยและสรยุทธนั้นยืนอยู่บนฟากเดียวกันของสองฝั่งความคิดที่แตกแยกในสังคมไทย ทั้งสามคนมีความเหมือนกันคือถูกกล่าวหาว่า ฉ้อโกง แต่ทั้งสามคนก็มีความเหมือนกันคือมีคนหลงใหลและยังศรัทธาจำนวนมาก

แต่นั่นแหละฝ่ายที่สนับสนุนประยุทธ์ก็ไม่แตกต่างกัน เคยกล่าวหาว่าสิ่งที่ทักษิณทำนั้นผิด แต่พอประยุทธ์ทำแบบเดียวกันก็เงียบเฉย

นี่สะท้อนว่า สังคมไทยเดินไปไกลแล้ว เดินไปไกลเกินกว่าที่จะมีฉันทามติร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดทางการเมือง ทางศาสนา และจริยธรรม ไม่ง่ายแล้วที่เราจะกลับไปสู่สังคมไทยที่บรรทัดฐานของความดีเลวเหมือนกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น