สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ตั้งขึ้นเมื่อประมาณปี 2540 จากที่ร่างรัฐธรรมนูญ 2540เสนอให้มีการตั้ง"องค์กรอิสระตามที่กฎหมายบัญญัติ" เพื่อควบคุมการทำงานของสื่อมวลชน แต่ความกลัวปร.42ในอดีต ทำให้สื่อส่วนใหญ่ออกมาคัดค้านและเสนอให้ตัดคำว่า "องค์กรอิสระตามที่กฎหมายบัญญัติ"ออกไป เพราะเกรงว่า การมีกฎหมายรองรับจะทำให้รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องและควบคุมการทำงานของสื่อ
จนนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการยกร่างเพื่อจัดตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยสื่อประกาศว่า จะตั้งองค์กรควบคุมตรวจสอบการทำงานกันเอง
ตอนนั้นผมวิพากษ์วิจารณ์ว่า การที่องค์กรวิชาชีพสื่อไม่มีกฎหมายรองรับในแบบเดียวกับแพทยสภานั้น จะไม่สามารถควบคุมตรวจสอบกันได้จริงและจะกลายเป็นเสือกระดาษ โดยบอกว่า กฎหมายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เราสามารถร่างกฎหมายป้องกันไม่ให้รัฐเข้ามาแทรกแซงได้ แต่กฎหมายจะเป็นเครื่องมือในการควบคุมจริยธรรมและจรรยาบรรณของสื่อที่มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นจริง
แต่ตอนนั้นเสียงของผมก็เป็นเพียงเสียงเล็กๆของคนในวิชาชีพ ไม่สามารถต้านทานกระแสส่วนใหญ่ได้ แล้วต่อมาก็พิสูจน์ชัดเจนว่า สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาตินั้นเป็นเพียงเสือกระดาษตัวหนึ่งเท่านั้นไม่สามารถควบคุมกันเองได้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเกิดเหตุการณ์อีเมล์ฉาวของนายวิม รุ่งวัฒนจินดา กรรมการพรรคเพื่อไทย อ้างว่ามีการจ่ายเงินให้สื่อ เพื่อช่วยนำเสนอข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โดยการพาดพิงถึงนักหนังสือพิมพ์หลายคนและหลายค่าย
คนที่เปิดโปงอีเมล์ฉาวนี้ก็คือ เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์แห่งนี้
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ โดยมี “นพ.วิชัย โชควิวัฒน” เป็นประธานคณะกรรมการสอบ ซึ่งผลการสอบสวนได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเครือมติชนและพรรคเพื่อไทยผ่านการนำเสนอข่าว
อนุกรรมการจากภายนอกที่สภาการหนังสือพิมพ์นอกจากหมอวิชัยที่เป็นประธานแล้ว ยังประกอบด้วย นางบัญญัติ ทัศนียะเวช ,รศ.ดร.ดรุณี หิรัญรักษ์ , ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ โดยมี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เป็นเลขานุการ ซึ่งแต่ละคนล้วน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีความรู้ มีความคิด มีต้นทุนทางสังคม
ต่อมาเครือมติชน อันประกอบด้วยหนังสือหลักในเครือคือ มติชน-ข่าวสด-ประชาชาติธุรกิจ ได้ประกาศลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติและออกแถลงการณ์คัดค้านไม่ยอมรับผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าว โดยระบุว่าคณะอนุกรรมการดำเนินการตรวจสอบนอกเหนือไปจากขอบเขตที่ได้รับมอบหมาย และไม่เรียกหรือสอบถามข้อเท็จจริงจากองค์กรสื่อที่พาดพิงไปถึง
ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้แถลงตอบโต้ต่อมาว่าพยายามติดต่อเพื่อขอความร่วมมือจากผู้ที่ถูกพาดพิงผ่านองค์กรหนังสือพิมพ์ต่างๆซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ส่วนเครือมติชนกลับไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาให้ข้อเท็จจริง แต่มีการชี้แจงมาเป็นเอกสารแทน ซึ่งคณะอนุกรรมการเห็นว่าไม่มีสาระใดที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบเลย
นอกจากการไม่ยอมรับการสอบสวนของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติและประกาศลาออกไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยแล้ว เครือมติชนได้เปิดฉากโจมตีหมอวิชัยจนเป็นคดีความฟ้องร้องกันขึ้น แล้วต่อมาได้มีการเจรจายอมความกันโดยมติชนแถลงขอขมาหมอวิชัยผ่านหนังสือพิมพ์ในเครือของตัวเอง
ถามว่าวันนี้มติชนมีจุดยืนอย่างไรต่อพรรคเพื่อไทยและทักษิณ คำตอบก็คงปรากฎชัดเจนอยู่แล้ว
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ไปประชุมที่คุ้มขุนช้าง สุพรรณบุรี บ้านของขรรค์ชัย บุนปาน เจ้าของเครือมติชน
ตามหัวข้อข่าวในลิ้งค์ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ บอกว่า สภาการ นสพ. จัดประชุมหารือปรับปรุงโครงสร้างการทำงาน ยกระดับควบคุมตนเองของสื่อ
มันตลกนะครับ เครือมติชนประกาศไม่ยอมรับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีการแถลงตอบโต้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติอย่างรุนแรง พร้อมลาออกจากภาคีสมาชิก แต่วันนี้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติกลับไปประชุมในบ้านของคนที่ประกาศไม่ขอร่วมสังฆกรรมด้วย
ผมยกตัวอย่างให้ดูนะครับ ทักษิณที่หนีคำพิพากษาของศาลไปแล้ว ต่อมาก็ให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่า การตัดสินของศาลเป็นขบวนการอยุติธรรม แล้วสมมติวันหนึ่ง ศาลยุติธรรมเกิดมีความคิดจะปรับปรุงองค์กรของตัวเองขึ้นมา ก็เลยไปร่วมประชุมกับทักษิณในบ้านของทักษิณ คิดว่าเรื่องแบบนี้มันถูกต้องไหมครับ
ผมไม่ทราบว่าการเลือกสถานที่ประชุมมีจุดประสงค์ใดและเป็นความคิดของใคร แต่มันไม่ควรและไม่ถูกต้องแน่นอน สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติไม่ใช่องค์กรส่วนตัวของใครคนหนึ่ง แต่เป็นองค์กรของวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งมวลที่จะต้องคำนึงถึงความศักดิ์สิทธิ์ในการยึดมั่นกฎกติกาและศักดิ์ศรีขององค์กร
ถามว่า ถ้าเครือมติชนจะกลับเข้ามาเป็นภาคีสมาชิกได้หรือไม่
คำตอบคือได้ครับ แต่เครือมติชนต้องประกาศตัวว่าได้สำนึกต่อการกระทำในอดีตแล้ว และยืนยันว่าหลังกลับมาเป็นภาคีสมาชิกแล้วจะยอมรับกฎกติกาของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติที่มีปฏิภาณว่าจะควบคุมตรวจสอบกันเอง
แต่ถ้าสภาการหนังสือพิมพ์เห็นว่า การไปประชุมที่บ้านของขรรค์ชัยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ก็ช่วยกันแถลงสารภาพผิดออกมาเลยครับว่า ที่ดำเนินการสอบสวนมติชนในอดีตนั้นสภาการหนังสือพิมพ์ผิดไปแล้ว และจะไม่ทำให้เครือมติชนเสียหายอีก
ถ้าเราจะปกครองกันเอง สมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์ต้องเคารพกฎเกณฑ์กติการ่วมกัน เว้นเสียแต่ว่าเครือมติชนเป็น"ลูกเทพ"ที่มีฤทธิเดชเหนือคนธรรมดาทั่วไป