วานนี้ (2 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 710 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ที่ อ.1008/2553 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค.53-15 ก.พ.53 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้ปราศรัยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ด้วยเครื่องกระจายเสียงต่อหน้าประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดง และประชาชนที่รับฟังและชมโทรทัศน์ช่องพีเพิล แชนแนล ที่มีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ ทำนองว่า โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งฆ่าประชาชน และหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ว่าโจทก์เป็นคนมีจิตใจโหดเหี้ยม สั่งฆ่าประชาชน หนีทหาร เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 326, 332 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนว่า ที่โจทก์หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารนั้น พยานเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังไม่มีความชัดเจน ขัดแย้งกันในบางส่วน ถือว่าจำเลยติชมด้วยความสุจริต เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม
ส่วนที่จำเลยปราศรัยว่า โจทก์เป็นนายกฯ สั่งปราบปรามและฆ่าประชาชน เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย ไม่ได้ติชมด้วยความสุจริตใจ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้จำเลย ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นเวลา 7 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย
ต่อมาโจทก์และจำเลย ยื่นฎีกา ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า ประเด็นที่ นายจตุพร จำเลยปราศรัยว่า นายอภิสิทธิ์ โจทก์หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร เพราะจำเลยเชื่อข้อมูลผลการสอบสวนของจเรทหารบก เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และการสมัครเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยฯ ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ แม้ภายหลังโจทก์ จะชี้แจงแล้วว่าได้ผ่อนผันทหารพร้อมมีหลักฐานประกอบ แต่ไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ไปดำเนินการเพื่อแก้ไขรายงานผลการสอบสวนให้ถูกต้อง นอกจากนี้ ในช่วงเกิดเหตุ จำเลยซึ่งเป็นนักการเมืองฝ่ายค้าน ได้ตั้งกระทู้ถามในรัฐสภา เพื่อตรวจสอบโจทก์ในประเด็นดังกล่าว ในฐานะที่เป็นนักการเมืองเช่นกัน การกระทำของจำเลย จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทให้ยกฟ้อง
ส่วนประเด็นที่จำเลยปราศรัย เมื่อวันที่ 15 ก.พ.53 ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ โจทก์ มีการวางแผนจัดตั้งมวลชนมาปะทะกับคนเสื้อแดง ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการล้อมปราบคนเสื้อแดงนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลย ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่ามีการประชุมวางแผนดังกล่าว และภายหลัง ก็ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามที่จำเลยกล่าวอ้าง คำปราศรัยดังกล่าวเกินเลยจากความเป็นจริง ก็เพื่อให้มวลชนเสื้อแดงที่มาชุมนุม เชื่อจำเลยและเข้าใจว่าโจทก์เป็นตนสั่งทำร้ายคนเสื้อแดง การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามมาตรา 328 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ด้านนายจตุพร กล่าวภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษา ว่า ขอขอบคุณศาลที่เมตตา ยกฟ้องกรณีที่ตนกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เรื่องหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ส่วนที่ตนพูดเรื่องปราบปรามประชาชน ศาลก็ได้ลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ โดยคดีที่ตนถูก นายอภิสิทธิ์ ฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท ขณะนี้มีทั้งหมด 6 กรณี ที่ปรากฏอยู่ใน 4 สำนวน และคดีส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการพิจารณาชั้นอุทธรณ์ และฎีกา มีทั้งยกฟ้องและให้รอการลงโทษ มีอยู่เพียง 1 คดีที่ศาลไม่รอการลงโทษซึ่งคดีนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค.53-15 ก.พ.53 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้ปราศรัยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ด้วยเครื่องกระจายเสียงต่อหน้าประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดง และประชาชนที่รับฟังและชมโทรทัศน์ช่องพีเพิล แชนแนล ที่มีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ ทำนองว่า โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งฆ่าประชาชน และหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ว่าโจทก์เป็นคนมีจิตใจโหดเหี้ยม สั่งฆ่าประชาชน หนีทหาร เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 326, 332 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนว่า ที่โจทก์หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารนั้น พยานเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังไม่มีความชัดเจน ขัดแย้งกันในบางส่วน ถือว่าจำเลยติชมด้วยความสุจริต เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม
ส่วนที่จำเลยปราศรัยว่า โจทก์เป็นนายกฯ สั่งปราบปรามและฆ่าประชาชน เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อยั่วยุ ปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย ไม่ได้ติชมด้วยความสุจริตใจ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้จำเลย ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นเวลา 7 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย
ต่อมาโจทก์และจำเลย ยื่นฎีกา ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า ประเด็นที่ นายจตุพร จำเลยปราศรัยว่า นายอภิสิทธิ์ โจทก์หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร เพราะจำเลยเชื่อข้อมูลผลการสอบสวนของจเรทหารบก เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และการสมัครเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยฯ ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ แม้ภายหลังโจทก์ จะชี้แจงแล้วว่าได้ผ่อนผันทหารพร้อมมีหลักฐานประกอบ แต่ไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ไปดำเนินการเพื่อแก้ไขรายงานผลการสอบสวนให้ถูกต้อง นอกจากนี้ ในช่วงเกิดเหตุ จำเลยซึ่งเป็นนักการเมืองฝ่ายค้าน ได้ตั้งกระทู้ถามในรัฐสภา เพื่อตรวจสอบโจทก์ในประเด็นดังกล่าว ในฐานะที่เป็นนักการเมืองเช่นกัน การกระทำของจำเลย จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทให้ยกฟ้อง
ส่วนประเด็นที่จำเลยปราศรัย เมื่อวันที่ 15 ก.พ.53 ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ โจทก์ มีการวางแผนจัดตั้งมวลชนมาปะทะกับคนเสื้อแดง ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการล้อมปราบคนเสื้อแดงนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลย ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่ามีการประชุมวางแผนดังกล่าว และภายหลัง ก็ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามที่จำเลยกล่าวอ้าง คำปราศรัยดังกล่าวเกินเลยจากความเป็นจริง ก็เพื่อให้มวลชนเสื้อแดงที่มาชุมนุม เชื่อจำเลยและเข้าใจว่าโจทก์เป็นตนสั่งทำร้ายคนเสื้อแดง การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามมาตรา 328 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ด้านนายจตุพร กล่าวภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษา ว่า ขอขอบคุณศาลที่เมตตา ยกฟ้องกรณีที่ตนกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เรื่องหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ส่วนที่ตนพูดเรื่องปราบปรามประชาชน ศาลก็ได้ลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ โดยคดีที่ตนถูก นายอภิสิทธิ์ ฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท ขณะนี้มีทั้งหมด 6 กรณี ที่ปรากฏอยู่ใน 4 สำนวน และคดีส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการพิจารณาชั้นอุทธรณ์ และฎีกา มีทั้งยกฟ้องและให้รอการลงโทษ มีอยู่เพียง 1 คดีที่ศาลไม่รอการลงโทษซึ่งคดีนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์