ผู้จัดการรายวัน360-"สุวพันธุ์" ย้ำจุดยืนรัฐบาล ตั้ง "สังฆราช" องค์ใหม่ ทุกอย่างต้องกระจ่างก่อน ไม่สนวัดขึ้นป้ายกดดันให้ตั้ง "สมเด็จช่วง" ทันที ด้านดีเอสไอนำผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบรถหรู "หลวงพี่น้ำฝน" ยังไม่ชัดเป็นจากัวร์หรือแพนเธอร์ ต้องรอผลตรวจละเอียดก่อน ด้านหลวงพี่ยืนยันครอบครองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ยินดีให้ตรวจสอบ ด้านทนายวัดปากน้ำยันสมเด็จช่วงไม่ผิดคดีรถหรู เผยได้คืนรถให้ผู้บริจาคแล้ว
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการรณรงค์ให้วัดทั่วประเทศขึ้นป้ายสนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ว่า ตนเคารพความคิดเห็นคณะสงฆ์ที่ทำกันอยู่ในขณะนี้ ตนไม่มีความคิดที่จะไม่เคารพ หรือจะไปเปลี่ยนมติมหาเถรสมาคม (มส.) ไม่คิดจะทำเลย ดังนั้น จะมีการขึ้นป้ายคัตเอาท์หรือไม่ จุดยืนของตนก็ไม่เปลี่ยน เพียงแต่ต้องการให้ทุกอย่างกระจ่าง เกิดความชัดเจนก่อน จึงอยากเรียนให้คณะสงฆ์ได้สบายใจ ยืนยันรัฐบาลไม่มีแนวคิดเป็นอย่างอื่น เคารพในมติ มส. เคารพการทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ รวมถึงเรื่องการปฏิรูป
ส่วนการเดินสายพูดคุยทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ตนได้พบกับหลายกลุ่มแล้ว เชื่อว่าทุกฝ่ายเข้าใจเจตนาของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะปล่อยให้แต่ละฝ่ายกดดันรัฐบาลอยู่อย่างนี้หรือ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า จุดยืนรัฐบาลชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่ใช่แรงกดดัน เพราะผลกระทบที่ตามมามีหลายเรื่องด้วยกัน ดังนั้น ต้องคิดให้รอบด้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (2 มี.ค.) ที่วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท จากัวร์ (ประเทศไทย) และผู้เชี่ยวชาญรถยนต์แพนเธอร์ เดินทางเข้าตรวจสอบรถยนต์เปิดประทุน รุ่นปี ค.ศ.1975 สีดำ ทะเบียน กก 1177 กทม. ซึ่งอยู่ในการครอบครองของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เพื่อพิสูจน์ทราบว่าเป็นรถยี่ห้อจากัวร์ หรือแพนเธอร์ ภายหลังจากมีกระแสข่าวรถดังกล่าวไม่อยู่ในสารบบรถยนต์ของจากัวร์ แต่เอกสารนำเข้าที่สำแดงต่อกรมศุลกากรระบุเป็นรถจากัวร์ ซึ่งในขั้นตอนจดประกอบเพื่อชำระภาษีสรรพสามิตระบุเป็นรถแพนเธอร์ และในชั้นจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกระบุเป็นรถจากัวร์ วงเล็บแพนเธอร์
พ.ต.ต.สุริยากล่าวว่า เป็นการเดินทางมาตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นรถจากัวร์ หรือแพนเธอร์ ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบลงลึกในรายละเอียดทุกมิติ ขณะเดียวกัน รายละเอียดที่มีอยู่ยังไม่ขอเปิดเผย พร้อมขอร้องให้ทุกฝ่ายอย่าเพิ่งคาดเดา โดยหลังจากตรวจสอบจนได้ข้อเท็จจริงแล้ว ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าจะเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ รถดังกล่าวถูกตรวจสอบครั้งแรกเมื่อปี 2556 ในสมัยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีดีเอสไอ โดยเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น แต่รถบางคันมีลักษณะเฉพาะทางที่การตรวจสอบทางกายภาพยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าถูกต้องหรือไม่ ดังนั้น จึงต้องมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นรถยี่ห้อใด และมีการจดแจ้งตามเอกสารที่ยื่นไว้หรือไม่
ด้านหลวงพี่น้ำฝนกล่าวว่า รถคันดังกล่าวมีนายเติมศักดิ์ ปิติธรสารสมบัติ หรือเสี่ยดำ ลูกศิษย์วัดคนสนิท เป็นผู้นำมาถวายให้ โดยหลวงพี่เพียงไปรับมาพร้อมเซ็นเอกสารจดทะเบียนและนำไปเสียภาษีเท่านั้น ขณะเดียวกันยอมรับว่ามีชื่อหลวงพี่เป็นผู้ครอบครองคนแรกและครอบครองมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว โดยยืนยันว่าครอบครองด้วยความบริสุทธิ์ใจและถูกต้อง ส่วนตัวยินดีให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบครั้งนี้ เพื่อความโปร่งใส
วันเดียวกันนี้ นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่รับผิดชอบคดีรถเบนซ์โบราณ มข-99 สมเด็จช่วง ได้เดินทางเข้าพบดีเอสไอ โดยได้นำเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จช่วงมาชี้แจง พร้อมยืนยันว่า สมเด็จช่วงไม่มีความผิดในเรื่องดังกล่าว เพราะรถที่เป็นชื่อของสมเด็จช่วง มีผู้มาบริจาคเพื่อนำเข้าพิพิธภัณฑ์ และได้มีการแจ้งไม่ใช้รถยนต์คันดังกล่าวแล้ว ส่วนการซื้อขายและการดำเนินการเกี่ยวกับรถ สมเด็จช่วงก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนลายเซ็นที่ปรากฎเป็นของจริง แต่ภายหลังเกิดเรื่องเป็นคดีความแล้ว สมเด็จช่วงก็ได้ส่งรถคืนให้กับผู้บริจาคเป็นที่เรียบร้อย
ด้านนายสุรพงษ์ สิทธิกร ทนายความผู้รับมอบจากพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กล่าวถึงกรณีที่นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ที่รับประกอบรถยนต์และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรถโบราณให้ข้อมูลกับดีเอสไอว่าหลวงพี่แป๊ะเป็นผู้นำอุปกรณ์การประกอบรถมาให้ที่อู่นั้น ตนขอยืนว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งทางหลวงพี่แป๊ะเป็นพระ ไม่มีทางจะรู้เรื่องรถอย่างแน่นอน
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการรณรงค์ให้วัดทั่วประเทศขึ้นป้ายสนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ว่า ตนเคารพความคิดเห็นคณะสงฆ์ที่ทำกันอยู่ในขณะนี้ ตนไม่มีความคิดที่จะไม่เคารพ หรือจะไปเปลี่ยนมติมหาเถรสมาคม (มส.) ไม่คิดจะทำเลย ดังนั้น จะมีการขึ้นป้ายคัตเอาท์หรือไม่ จุดยืนของตนก็ไม่เปลี่ยน เพียงแต่ต้องการให้ทุกอย่างกระจ่าง เกิดความชัดเจนก่อน จึงอยากเรียนให้คณะสงฆ์ได้สบายใจ ยืนยันรัฐบาลไม่มีแนวคิดเป็นอย่างอื่น เคารพในมติ มส. เคารพการทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ รวมถึงเรื่องการปฏิรูป
ส่วนการเดินสายพูดคุยทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ตนได้พบกับหลายกลุ่มแล้ว เชื่อว่าทุกฝ่ายเข้าใจเจตนาของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะปล่อยให้แต่ละฝ่ายกดดันรัฐบาลอยู่อย่างนี้หรือ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า จุดยืนรัฐบาลชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่ใช่แรงกดดัน เพราะผลกระทบที่ตามมามีหลายเรื่องด้วยกัน ดังนั้น ต้องคิดให้รอบด้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (2 มี.ค.) ที่วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท จากัวร์ (ประเทศไทย) และผู้เชี่ยวชาญรถยนต์แพนเธอร์ เดินทางเข้าตรวจสอบรถยนต์เปิดประทุน รุ่นปี ค.ศ.1975 สีดำ ทะเบียน กก 1177 กทม. ซึ่งอยู่ในการครอบครองของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เพื่อพิสูจน์ทราบว่าเป็นรถยี่ห้อจากัวร์ หรือแพนเธอร์ ภายหลังจากมีกระแสข่าวรถดังกล่าวไม่อยู่ในสารบบรถยนต์ของจากัวร์ แต่เอกสารนำเข้าที่สำแดงต่อกรมศุลกากรระบุเป็นรถจากัวร์ ซึ่งในขั้นตอนจดประกอบเพื่อชำระภาษีสรรพสามิตระบุเป็นรถแพนเธอร์ และในชั้นจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกระบุเป็นรถจากัวร์ วงเล็บแพนเธอร์
พ.ต.ต.สุริยากล่าวว่า เป็นการเดินทางมาตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นรถจากัวร์ หรือแพนเธอร์ ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบลงลึกในรายละเอียดทุกมิติ ขณะเดียวกัน รายละเอียดที่มีอยู่ยังไม่ขอเปิดเผย พร้อมขอร้องให้ทุกฝ่ายอย่าเพิ่งคาดเดา โดยหลังจากตรวจสอบจนได้ข้อเท็จจริงแล้ว ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าจะเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ รถดังกล่าวถูกตรวจสอบครั้งแรกเมื่อปี 2556 ในสมัยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีดีเอสไอ โดยเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น แต่รถบางคันมีลักษณะเฉพาะทางที่การตรวจสอบทางกายภาพยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าถูกต้องหรือไม่ ดังนั้น จึงต้องมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นรถยี่ห้อใด และมีการจดแจ้งตามเอกสารที่ยื่นไว้หรือไม่
ด้านหลวงพี่น้ำฝนกล่าวว่า รถคันดังกล่าวมีนายเติมศักดิ์ ปิติธรสารสมบัติ หรือเสี่ยดำ ลูกศิษย์วัดคนสนิท เป็นผู้นำมาถวายให้ โดยหลวงพี่เพียงไปรับมาพร้อมเซ็นเอกสารจดทะเบียนและนำไปเสียภาษีเท่านั้น ขณะเดียวกันยอมรับว่ามีชื่อหลวงพี่เป็นผู้ครอบครองคนแรกและครอบครองมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว โดยยืนยันว่าครอบครองด้วยความบริสุทธิ์ใจและถูกต้อง ส่วนตัวยินดีให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบครั้งนี้ เพื่อความโปร่งใส
วันเดียวกันนี้ นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความวัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่รับผิดชอบคดีรถเบนซ์โบราณ มข-99 สมเด็จช่วง ได้เดินทางเข้าพบดีเอสไอ โดยได้นำเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จช่วงมาชี้แจง พร้อมยืนยันว่า สมเด็จช่วงไม่มีความผิดในเรื่องดังกล่าว เพราะรถที่เป็นชื่อของสมเด็จช่วง มีผู้มาบริจาคเพื่อนำเข้าพิพิธภัณฑ์ และได้มีการแจ้งไม่ใช้รถยนต์คันดังกล่าวแล้ว ส่วนการซื้อขายและการดำเนินการเกี่ยวกับรถ สมเด็จช่วงก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนลายเซ็นที่ปรากฎเป็นของจริง แต่ภายหลังเกิดเรื่องเป็นคดีความแล้ว สมเด็จช่วงก็ได้ส่งรถคืนให้กับผู้บริจาคเป็นที่เรียบร้อย
ด้านนายสุรพงษ์ สิทธิกร ทนายความผู้รับมอบจากพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กล่าวถึงกรณีที่นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ที่รับประกอบรถยนต์และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรถโบราณให้ข้อมูลกับดีเอสไอว่าหลวงพี่แป๊ะเป็นผู้นำอุปกรณ์การประกอบรถมาให้ที่อู่นั้น ตนขอยืนว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งทางหลวงพี่แป๊ะเป็นพระ ไม่มีทางจะรู้เรื่องรถอย่างแน่นอน