วานนี้ (1 มี.ค.) นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิ กกต. แถลงว่า ในที่ประชุมกกต. ได้มีการพิจารณากรณีการยื่นคำของบประมาณการออกเสียงประชามติ ซึ่งยังมีหลายรายหลายการซ้ำซ้อนกันอยู่ จึงมอบสำนักงานไปพิจารณาอีกครั้งว่า รายการไหนที่จำเป็น หรือรายการไหนซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภายใน และหน่วยงานภายนอก รายการไม่จำเป็นก็ให้ตัดออก และให้สำนักงานนำเข้าที่ประชุมกกต.อีกครั้ง ในวันที่ 15 มี.ค. ก่อนส่งให้ครม.พิจารณา
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าวจากสื่อ เรื่องกกต.ถังแตก จะตัดเงินค่าตอบแทนพนักงาน โดยในที่ประชุมกกต.ได้พูดถึงประเด็นนี้และให้แถลงทำความเข้าใจ เนื่องจาก กกต. เป็นองค์กรอิสระ การจัดสรรงบประมาณ สำงบประมาณให้มาเป็นก้อน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งบประจำ ค่าตอบแทน เงินเดือน และอีกก้อนเป็นงบลงทุน โดยสำนักงานมาเกลี่ยเองว่าจะใช้ส่วนไหน เท่าไหร่ ทุกปีที่ผ่านมาสำนักงบฯ ไม่เคยจัดสรรรายจ่ายประจำให้เพียงพอ เราอยู่ได้ด้วยเงินสะสมและเงินที่เหลือจากการเลือกตั้ง แต่ไม่มากมายเราใช้จ่ายอย่างประหยัด โดยกฎหมายไม่ต้องส่งคืนและให้นำเงินเหลือมาใช้ได้ เราทำแบบนี้มาทุกปี ซึ่งการดำเนินงานของสำนักงานมีการก่อสร้างอาคารสำนักงานในต่างจังหวัดเกือบ 40 แห่ง โดยนำเงินสะสมมาก่อสร้าง ถ้าสำนักงบฯ รู้ว่าเงินเราพร่องคงจะจัดสรรเพิ่มเติมให้ พนักงานอาจไม่เข้าใจในส่วนนี้ ดังนั้นที่ประชุม กกต.ได้ให้รักษาการเลขาธิการทำหนังสือแจ้งบุคลากรให้เกิดความมั่นใจว่าสิทธิเคยได้ยังมีเหมือนเดิม อย่าเพิ่งตกใจไปกกต. สามารถบริหารส่วนนี้ได้
นายธนิศร์ กล่าวว่า สำนักงาน กกต.ไม่เคยได้รับค่าก่อสร้างจากสำนักงบฯเลย ใช้เงินสะสมไปทำ สาเหตุที่ก่อสร้างเพราะที่ต้องอาศัยศาลากลาง หรือเช่าสำนัก แต่ลักษณะงานของกกต. บางเรื่องต้องทำเป็นเรื่องลับ จึงจำเป็นต้องมีอาคารเก็บวัสดุของตัวเอง เช่น บัตรเลือกตั้ง หีบเลือกตั้ง เป็นต้น แต่เงินทุกบาท คือเงินหลวง เมื่อหมดก็ต้องขอเพิ่มเติม ขณะนี้ส่งคำของบประมาณปี 60 ไปแล้ว กรอบวงเงิน 3,400 ล้านบาท เป็นงบบุคลากร งบวัสดุอุปกรณ์ งบพัฒนา งบลงทุน คงจะมีการอธิบายกับสำนักงบฯ ให้เข้าใจตรงกันในรายละเอียดต่อไป อย่างไรก็ตามที่มีการเรียกร้องให้ปลดน.ส.สุรณี ผลทวี ผอ.เพราะบริหารงานผิดพลาดนั้นเรื่องนี้ไม่กี่ยวกับการบริหารงานผิดพราด แต่เกิดจากการจัดสรรเงินจากสำนักงบฯไม่เพียงพอ
นายธนิศร์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการ กกต. ยื่นคำร้องต่อฟ้องศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนมติ กกต. กรณีเลิกจ้างว่า ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม และเป็นสิทธิดำเนินการได้ตามกรอบกฎหมาย แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าวจากสื่อ เรื่องกกต.ถังแตก จะตัดเงินค่าตอบแทนพนักงาน โดยในที่ประชุมกกต.ได้พูดถึงประเด็นนี้และให้แถลงทำความเข้าใจ เนื่องจาก กกต. เป็นองค์กรอิสระ การจัดสรรงบประมาณ สำงบประมาณให้มาเป็นก้อน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งบประจำ ค่าตอบแทน เงินเดือน และอีกก้อนเป็นงบลงทุน โดยสำนักงานมาเกลี่ยเองว่าจะใช้ส่วนไหน เท่าไหร่ ทุกปีที่ผ่านมาสำนักงบฯ ไม่เคยจัดสรรรายจ่ายประจำให้เพียงพอ เราอยู่ได้ด้วยเงินสะสมและเงินที่เหลือจากการเลือกตั้ง แต่ไม่มากมายเราใช้จ่ายอย่างประหยัด โดยกฎหมายไม่ต้องส่งคืนและให้นำเงินเหลือมาใช้ได้ เราทำแบบนี้มาทุกปี ซึ่งการดำเนินงานของสำนักงานมีการก่อสร้างอาคารสำนักงานในต่างจังหวัดเกือบ 40 แห่ง โดยนำเงินสะสมมาก่อสร้าง ถ้าสำนักงบฯ รู้ว่าเงินเราพร่องคงจะจัดสรรเพิ่มเติมให้ พนักงานอาจไม่เข้าใจในส่วนนี้ ดังนั้นที่ประชุม กกต.ได้ให้รักษาการเลขาธิการทำหนังสือแจ้งบุคลากรให้เกิดความมั่นใจว่าสิทธิเคยได้ยังมีเหมือนเดิม อย่าเพิ่งตกใจไปกกต. สามารถบริหารส่วนนี้ได้
นายธนิศร์ กล่าวว่า สำนักงาน กกต.ไม่เคยได้รับค่าก่อสร้างจากสำนักงบฯเลย ใช้เงินสะสมไปทำ สาเหตุที่ก่อสร้างเพราะที่ต้องอาศัยศาลากลาง หรือเช่าสำนัก แต่ลักษณะงานของกกต. บางเรื่องต้องทำเป็นเรื่องลับ จึงจำเป็นต้องมีอาคารเก็บวัสดุของตัวเอง เช่น บัตรเลือกตั้ง หีบเลือกตั้ง เป็นต้น แต่เงินทุกบาท คือเงินหลวง เมื่อหมดก็ต้องขอเพิ่มเติม ขณะนี้ส่งคำของบประมาณปี 60 ไปแล้ว กรอบวงเงิน 3,400 ล้านบาท เป็นงบบุคลากร งบวัสดุอุปกรณ์ งบพัฒนา งบลงทุน คงจะมีการอธิบายกับสำนักงบฯ ให้เข้าใจตรงกันในรายละเอียดต่อไป อย่างไรก็ตามที่มีการเรียกร้องให้ปลดน.ส.สุรณี ผลทวี ผอ.เพราะบริหารงานผิดพลาดนั้นเรื่องนี้ไม่กี่ยวกับการบริหารงานผิดพราด แต่เกิดจากการจัดสรรเงินจากสำนักงบฯไม่เพียงพอ
นายธนิศร์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการ กกต. ยื่นคำร้องต่อฟ้องศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนมติ กกต. กรณีเลิกจ้างว่า ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม และเป็นสิทธิดำเนินการได้ตามกรอบกฎหมาย แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบ