**ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ครองอำนาจ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ถือเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง ที่แป๊ะ จะขาดเสียไม่ได้ แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน กลายมาเป็นกิ้งกือตกท่อกันง่ายๆ แบบนี้
หลังมีจดหมายน้อย ที่เขียนถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ด้วยลายมืออันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองว่อนโลกโซเชียลมีเดีย เพื่อขอให้ช่วยพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังในข้อหาแจ้งความเท็จ รายหนึ่ง
งานนี้จัดเป็นเรื่องใหญ่สะท้านสะเทือนเรือแป๊ะแน่ เพราะเป็นคนในรัฐบาลระดับรองนายกรัฐมนตรี กันเลยเชียว
แม้วันนี้จะยังไม่ชัดเจนว่า ตามตัวบทกฎหมายแล้ว เจ้าของฉายาเนติบริกร ถือว่ามีความผิดหรือไม่ แต่จากปรากฏการณ์ครั้งนี้ ทำให้มีคนนำไปเทียบเคียงกับ กรณี ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการศาลปกครอง ที่ทำบันทึกส่วนตัวจำนวน 2 ฉบับ ส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ รอง ผบ.ตร. โดยอ้างว่านายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด มีความประสงค์สนับสนุนนายตำรวจ ยศ พ.ต.ท. นายหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชายของนายหัสวุฒิ ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ
สุดท้าย หัสวุฒิ ต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ เพราะเรื่องดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักจริยธรรมในระบบราชการ
**กรณีของเนติบริกรวิษณุ ก็เช่นเดียวกัน ต่อให้วันนี้จะประดิดประดอยคำตามประสาเซียนกฎหมายที่พลิ้วไหวเก่ง แต่ในแง่จริยธรรม ถือว่าผิดเต็มเปา
แม้ผลของการเขียนจดหมายจะแตกต่างกับของหัสวุฒิ ที่มีเจตนาฝากเด็กให้เติบโตในหน้าที่ก็ตาม เพราะไม่ว่าเจตนาจะต้องการจะฝากเด็ก หรือช่วยเหลือคน เมื่อทำแบบลับๆ ล่อๆ เจาะจงไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ย่อมถูกมองว่าคือ การพยายามใช้เส้นสาย หรือคอนเนกชั่นที่มี ทำอะไรที่เป็นพิเศษขึ้นมา
ขณะเดียวกัน เรื่องการขอพักโทษที่เนติบริกร จะเข้าไปช่วยผู้ต้องขังคนหนึ่ง มันยังมีข้อสังเกตทางกฎหมายอยู่ดีว่า มันถึงเวลาจะทำแล้วหรือยัง เนื่องจากตามระเบียบของการพักโทษ นักโทษจะต้องรับโทษไปแล้ว 2 ใน 3 อย่างกรณีผู้ต้องขังรายนี้ ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 2 ปี หากจะพักโทษได้ ก็ต้องติดคุกไปก่อน 1 ปี 4 เดือน แต่นี่มันยังไม่ถึงเลย
หรือให้ถกกันในแง่กฎหมายที่ เนติบริกรวิษณุ ระบุว่า เรื่องการขอพักโทษสามารถทำได้ ยิ่งผู้ต้องขังเป็นนักโทษชั้นดีอย่างที่ปากบอกแล้ว ตามระเบียบก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย จะเข้าไปก้าวก่ายอะไร
ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายน้อยกำกับสลักหลังตามไปอีก ไม่ต้องเขียนยืดยาว ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ต้องถึงคนระดับเนตบริกรวิษณุ ต้องลงมากำกับเอง เมื่อถึงเวลาเขาก็จะได้รับการพักโทษเองมิใช่หรือ ?
**ดังนั้น เรื่องนี้มันดูมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่
ในแง่ความเป็นจริงอีกอย่างที่เนติบริกรวิษณุ ระบุว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณาหรือไม่ก็ได้นั้น ถามว่า ถ้ามีจดหมายน้อยซึ่งเขียนกำกับหลังโดยคนเป็นระดับรองนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญยังกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมด้วย ถามว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะกล้าปฏิเสธไม่ปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งมันไม่มีทางเลย ที่จะกล้าเกี่ยงงอนนายใหญเหนือหัวตัวเอง
นอกจากนี้ ในจดหมายน้อยยังมีการอ้างชื่อ คุณหญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดา ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมให้ความเคารพ มันยิ่งทำให้เป็นการไม่เหมาะ ไม่ควร อย่างยิ่ง ทำให้คนมองว่า เป็นการอ้างชื่อผู้ใหญ่ พวกข้าราชการตัวน้อยๆ ยิ่งไม่กล้าปฏิเสธเข้าไปอีก ทั้งที่ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้
ฉะนั้น กรณีนี้มันก็เป็นความผิดคล้ายคลึงกับหัสวุฒิ เอามากๆ เพราะเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดันว่าไม่ผิด ไม่แคร์ ใช้ความเป็นนักกฎหมายชั้นแนวหน้าของประเทศเลี่ยงบาลี เพื่อสลัดเสียงติฉินนินทาไปเรื่อย ไม่พ้นคำครหา ทีกับคนอื่นความผิดเท่าขุนเขา ครั้นพอถึงตัวเราเท่าขี้มด
** แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ของเนติบริกรนั้นถือว่าย่ำแย่แล้วในสายตาของสังคม ถูกคนนินทาหมาดูถูก ระงมทั่วว่า คนระดับครู อาจารย์ ที่มีนักกฎหมายทั่วประเทศเป็นลูกศิษย์ กำลังทำเรื่องที่เสื่อมเสียอย่างไม่น่าให้อภัย
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นเลยว่า จริงๆ แล้ว เนติบริกรวิษณุ ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรไปกว่าใคร และยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยว่า นี่แหละ พื้นฐานธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่ว่าวงการไหน มีเรื่องอุปถัมภ์ค้ำชูเพื่อนพ้องน้องพี่ คนใกล้ชิดเสมอ วิษณุ เองว่าไปก็ไม่ต่างอะไรจากนักการเมือง ที่มีคอนเนกชั่นเท่าไหร่หรอก มีนักธุรกิจใหญ่อยู่ใต้ปีกจำนวนไม่น้อย เข้ามาพบในทำเนียบรัฐบาล ก็เห็นอยู่บ่อยๆ อย่าลืมว่า ช่วงพักงานการเมือง วิษณุ คือที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทยักษ์ใหญ่ ในประเทศหลายแห่ง ซี้ย่ำปึ้กกับ ศักดิ์ชัย ธนบุญชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นักธุรกิจที่ถือหุ้นในบริษัทชื่อดังของประเทศหลายแห่ง
บอกได้เลย ช็อตนี้เรือแป๊ะโคลงเคลงแน่ เพราะทำคนเสื่อมศรัทธา ผิดหวังกับรัฐบาลคนดีอีกระลอก หลังก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ การขุดลอกคูคลอง ขององค์สงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่สะกิดความเชื่อมั่นประชาชน ยังมาเจอเรื่องนี้แบบติดๆ กันแถมมีหลักฐานเป็นใบเสร็จมัดแจ่มแจ้งแดงแจ๋อีก ไม่รู้จะดิ้นหรือแถกันอีท่าไหน
แต่ดูท่า“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. คงอุ้มกันจนถึงที่สุด เพราะเนติบริกรวิษณุ เป็นยาสามัญประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นหัวหอกคีย์แมนคนสำคัญในด้านกฎหมาย ที่ใช้ต่อกร ฟาดฟันกับศัตรูทางการเมือง และการวางค่ายกลกฎหมายต่างๆ ให้กับ คสช. ถึงขนาดเคยมีข่าวว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญของ ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่าน จะเอาวิษณุ มานั่งร่างเองกันเลย เพราะเข้าใจเจตนาแป๊ะมากที่สุด
หรือดูแค่พอเกิดเรื่อง “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ที่ได้รับคำชื่นชมว่า ตัวเล็กใจใหญ่ เรื่องปราบโกง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่พอกับเรื่องนี้ รีบออกมากันท่า อุ้มเนติบริกรกันสุดฤทธิ์ ว่าทำได้ ไม่ผิด ประทับตราให้ทุกอย่าง ดังนั้นงานนี้เชื่อขนมกินได้ แป๊ะหวงยิ่งกว่าไข่จงอาง อารักขายิ่งกว่าไข่ในหิน ไม่มีวันเฉดหัวทิ้งกลางทางแน่
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถูกเตะกระเด็น โทษฐานสร้างความเสื่อมเสีย แต่กับคนนี้ ถ้าแป๊ะไม่มี เป็นอันว่าพัง หมดเครื่องมือทางกฎหมายในการไปสู้รบปรบมือทันที
**แต่ก็คิดให้ดี ทำแบบนี้จะเป็นตัวกัดเซาะความเชื่อถือของรัฐบาลเอง !
หลังมีจดหมายน้อย ที่เขียนถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ด้วยลายมืออันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองว่อนโลกโซเชียลมีเดีย เพื่อขอให้ช่วยพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังในข้อหาแจ้งความเท็จ รายหนึ่ง
งานนี้จัดเป็นเรื่องใหญ่สะท้านสะเทือนเรือแป๊ะแน่ เพราะเป็นคนในรัฐบาลระดับรองนายกรัฐมนตรี กันเลยเชียว
แม้วันนี้จะยังไม่ชัดเจนว่า ตามตัวบทกฎหมายแล้ว เจ้าของฉายาเนติบริกร ถือว่ามีความผิดหรือไม่ แต่จากปรากฏการณ์ครั้งนี้ ทำให้มีคนนำไปเทียบเคียงกับ กรณี ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการศาลปกครอง ที่ทำบันทึกส่วนตัวจำนวน 2 ฉบับ ส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ รอง ผบ.ตร. โดยอ้างว่านายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด มีความประสงค์สนับสนุนนายตำรวจ ยศ พ.ต.ท. นายหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชายของนายหัสวุฒิ ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ
สุดท้าย หัสวุฒิ ต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้ เพราะเรื่องดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักจริยธรรมในระบบราชการ
**กรณีของเนติบริกรวิษณุ ก็เช่นเดียวกัน ต่อให้วันนี้จะประดิดประดอยคำตามประสาเซียนกฎหมายที่พลิ้วไหวเก่ง แต่ในแง่จริยธรรม ถือว่าผิดเต็มเปา
แม้ผลของการเขียนจดหมายจะแตกต่างกับของหัสวุฒิ ที่มีเจตนาฝากเด็กให้เติบโตในหน้าที่ก็ตาม เพราะไม่ว่าเจตนาจะต้องการจะฝากเด็ก หรือช่วยเหลือคน เมื่อทำแบบลับๆ ล่อๆ เจาะจงไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ย่อมถูกมองว่าคือ การพยายามใช้เส้นสาย หรือคอนเนกชั่นที่มี ทำอะไรที่เป็นพิเศษขึ้นมา
ขณะเดียวกัน เรื่องการขอพักโทษที่เนติบริกร จะเข้าไปช่วยผู้ต้องขังคนหนึ่ง มันยังมีข้อสังเกตทางกฎหมายอยู่ดีว่า มันถึงเวลาจะทำแล้วหรือยัง เนื่องจากตามระเบียบของการพักโทษ นักโทษจะต้องรับโทษไปแล้ว 2 ใน 3 อย่างกรณีผู้ต้องขังรายนี้ ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 2 ปี หากจะพักโทษได้ ก็ต้องติดคุกไปก่อน 1 ปี 4 เดือน แต่นี่มันยังไม่ถึงเลย
หรือให้ถกกันในแง่กฎหมายที่ เนติบริกรวิษณุ ระบุว่า เรื่องการขอพักโทษสามารถทำได้ ยิ่งผู้ต้องขังเป็นนักโทษชั้นดีอย่างที่ปากบอกแล้ว ตามระเบียบก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย จะเข้าไปก้าวก่ายอะไร
ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายน้อยกำกับสลักหลังตามไปอีก ไม่ต้องเขียนยืดยาว ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ต้องถึงคนระดับเนตบริกรวิษณุ ต้องลงมากำกับเอง เมื่อถึงเวลาเขาก็จะได้รับการพักโทษเองมิใช่หรือ ?
**ดังนั้น เรื่องนี้มันดูมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่
ในแง่ความเป็นจริงอีกอย่างที่เนติบริกรวิษณุ ระบุว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณาหรือไม่ก็ได้นั้น ถามว่า ถ้ามีจดหมายน้อยซึ่งเขียนกำกับหลังโดยคนเป็นระดับรองนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญยังกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมด้วย ถามว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะกล้าปฏิเสธไม่ปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งมันไม่มีทางเลย ที่จะกล้าเกี่ยงงอนนายใหญเหนือหัวตัวเอง
นอกจากนี้ ในจดหมายน้อยยังมีการอ้างชื่อ คุณหญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดา ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่สังคมให้ความเคารพ มันยิ่งทำให้เป็นการไม่เหมาะ ไม่ควร อย่างยิ่ง ทำให้คนมองว่า เป็นการอ้างชื่อผู้ใหญ่ พวกข้าราชการตัวน้อยๆ ยิ่งไม่กล้าปฏิเสธเข้าไปอีก ทั้งที่ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้
ฉะนั้น กรณีนี้มันก็เป็นความผิดคล้ายคลึงกับหัสวุฒิ เอามากๆ เพราะเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดันว่าไม่ผิด ไม่แคร์ ใช้ความเป็นนักกฎหมายชั้นแนวหน้าของประเทศเลี่ยงบาลี เพื่อสลัดเสียงติฉินนินทาไปเรื่อย ไม่พ้นคำครหา ทีกับคนอื่นความผิดเท่าขุนเขา ครั้นพอถึงตัวเราเท่าขี้มด
** แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ของเนติบริกรนั้นถือว่าย่ำแย่แล้วในสายตาของสังคม ถูกคนนินทาหมาดูถูก ระงมทั่วว่า คนระดับครู อาจารย์ ที่มีนักกฎหมายทั่วประเทศเป็นลูกศิษย์ กำลังทำเรื่องที่เสื่อมเสียอย่างไม่น่าให้อภัย
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นเลยว่า จริงๆ แล้ว เนติบริกรวิษณุ ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรไปกว่าใคร และยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยว่า นี่แหละ พื้นฐานธรรมดาของมนุษย์ที่ไม่ว่าวงการไหน มีเรื่องอุปถัมภ์ค้ำชูเพื่อนพ้องน้องพี่ คนใกล้ชิดเสมอ วิษณุ เองว่าไปก็ไม่ต่างอะไรจากนักการเมือง ที่มีคอนเนกชั่นเท่าไหร่หรอก มีนักธุรกิจใหญ่อยู่ใต้ปีกจำนวนไม่น้อย เข้ามาพบในทำเนียบรัฐบาล ก็เห็นอยู่บ่อยๆ อย่าลืมว่า ช่วงพักงานการเมือง วิษณุ คือที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทยักษ์ใหญ่ ในประเทศหลายแห่ง ซี้ย่ำปึ้กกับ ศักดิ์ชัย ธนบุญชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นักธุรกิจที่ถือหุ้นในบริษัทชื่อดังของประเทศหลายแห่ง
บอกได้เลย ช็อตนี้เรือแป๊ะโคลงเคลงแน่ เพราะทำคนเสื่อมศรัทธา ผิดหวังกับรัฐบาลคนดีอีกระลอก หลังก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ การขุดลอกคูคลอง ขององค์สงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่สะกิดความเชื่อมั่นประชาชน ยังมาเจอเรื่องนี้แบบติดๆ กันแถมมีหลักฐานเป็นใบเสร็จมัดแจ่มแจ้งแดงแจ๋อีก ไม่รู้จะดิ้นหรือแถกันอีท่าไหน
แต่ดูท่า“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. คงอุ้มกันจนถึงที่สุด เพราะเนติบริกรวิษณุ เป็นยาสามัญประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นหัวหอกคีย์แมนคนสำคัญในด้านกฎหมาย ที่ใช้ต่อกร ฟาดฟันกับศัตรูทางการเมือง และการวางค่ายกลกฎหมายต่างๆ ให้กับ คสช. ถึงขนาดเคยมีข่าวว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญของ ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่าน จะเอาวิษณุ มานั่งร่างเองกันเลย เพราะเข้าใจเจตนาแป๊ะมากที่สุด
หรือดูแค่พอเกิดเรื่อง “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ที่ได้รับคำชื่นชมว่า ตัวเล็กใจใหญ่ เรื่องปราบโกง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่พอกับเรื่องนี้ รีบออกมากันท่า อุ้มเนติบริกรกันสุดฤทธิ์ ว่าทำได้ ไม่ผิด ประทับตราให้ทุกอย่าง ดังนั้นงานนี้เชื่อขนมกินได้ แป๊ะหวงยิ่งกว่าไข่จงอาง อารักขายิ่งกว่าไข่ในหิน ไม่มีวันเฉดหัวทิ้งกลางทางแน่
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถูกเตะกระเด็น โทษฐานสร้างความเสื่อมเสีย แต่กับคนนี้ ถ้าแป๊ะไม่มี เป็นอันว่าพัง หมดเครื่องมือทางกฎหมายในการไปสู้รบปรบมือทันที
**แต่ก็คิดให้ดี ทำแบบนี้จะเป็นตัวกัดเซาะความเชื่อถือของรัฐบาลเอง !