ผู้จัดการรายวัน360 - "มาร์ค" จับไต๋ "แม้ว" ออกโรงเคลื่อนไหว “คดีตระกูลชินฯ-ต้านร่าง รธน.” ดักคอ คสช.ยอมฮั้วคดีเจ๊งแน่ “นพดล” ป้อง “ทักษิณ” แค่แนะพูดคุยเพื่อปรองดอง ปัดจ้างจ้าง บ.พีอาร์ออกสื่อนอก “ดีเอสไอ” เชิญแม่-สามี “เลขาฯหญิงอ้อ” ปมเช็คกฤษดานคร ยอมรับมีเงินเข้าบัญชีจริง ด้าน "โอ๊ค" ประชดแค่เป็นพยานข่าวดังกระฉ่อน ประชด ”ดีเอสไอ” แห่กลองยาวประจาน ทีมทนายจ่อเอาผิดสื่อเสนอข่าวเกินจริง
วานนี้ (25 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ โจมตีรัฐบาลและการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า ตั้งแต่รัฐประหารมาเกือบ 2 ปี ต้องยอมรับว่า นายทักษิณให้สัมภาษณ์ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการรัฐประหารครั้งก่อน คิดว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้นายทักษิณเลือกจังหวะที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น คือ 1.คดีความที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในครอบครัวกำลังเดินหน้างวดเข้ามามากขึ้น และ 2. ร่างรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการลงประชามติ ซึ่งที่ผ่านมา นายทักษิณเองก็มีการจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ บริษัทที่ทำงานล็อบบี้ ซึ่งก็จะสามารถช่วยให้เข้าถึงสื่อต่างๆเหล่านี้ได้ ขณะที่โลกตะวันตก ก็ไม่ชอบการรัฐประหารอยู่แล้ว ก็อาจจะได้รับเสียงสนับสนุนบ้าง อย่างไรก็ตามตนไม่ได้มองว่านี่คือความล้มเหลวของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการสร้างความปรองดอง แต่หากบอกว่ามีการฮั้วคดีกัน ตรงนี้น่าจะเป็นความล้มเหลวมากกว่า
** เตือน คสช.รับคำ “แม้ว” พังแน่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง หาก คสช. ทำงานเสร็จ และมีการปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรง การเผชิญหน้า โดยไปเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คสช.ก็จะถูกมองว่าไม่ประสบความสำเร็จในการทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากสภาพปัญหาเดิมๆ หรือหากต่างประเทศยังบอกว่า ไทยยังมีความไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ชอบธรรม คุณทักษิณยังกลายเป็นตัวแทนของระบอบประชาธิปไตยสำหรับสื่อต่างประเทศ เหล่านี้ก็ถือเป็นความล้มเหลว ส่วนความเคลื่อนไหวจะมีผลมากแค่ไหน เวลาจะเป็นตัวบ่งบอก โดยเฉพาะถ้ามีการพยายามที่จะระดมคนมากดดันเรื่องคดีความ แสดงว่า ยังเป็นปัญหาอยู่
“หากจะเจรจากันเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว หรือเอาตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย ไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าพูดคุยเรื่องของอนาคตของประเทศ คงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะตั้งตัวขึ้นมาให้พูดคุยกัน หากมีการยินยอมตามความต้องการของนายทักษิณ ผมบอกได้เลยว่า บ้านเมืองไม่มีทางสงบ เพราะเห็นมาแล้วจากปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้น" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** “นพดล” ปัด “นายใหญ่” จ้างล็อบบี้ยีสต์
อีกด้าน นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวตอบโต้นายอภิสิทธิ์ในประเด็นที่ระบุว่า นายทักษิณมีการจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ หรือบริษัทที่ทำงานล็อบบี้เพื่อเข้าถึงสื่อต่างๆว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดไม่เป็นความจริง เป็นการมโนไปเองและต่ำกว่ามาตรฐานของคนที่เคยเป็นนายกฯ เนื่องจากนายทักษิณไม่เคยเสนอขอเจรจา แต่เพียงเสนอให้ทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งในไทยได้พูดคุยกัน เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะไม่มีการต่อรองใดๆเกี่ยวกับคดีความ ทั้งนี้ สื่อต่างประเทศเข้าคิวขอสัมภาษณ์นายทักษิณเป็นจำนวนมาก จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์และลอบบี้ยิสต์เพื่อให้มาสัมภาษณ์ และไม่มีการจ้างตามที่กล่าวหา
** “ดีเอสไอ” สอบแม่-สามี “เลขาฯหญิงอ้อ”
วันเดียวกัน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางเกศินี จิปิภพ มารดา นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และนายวันชัย หงส์เหิน สามีนางกาญจนาภา เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ และนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานการสอบสวน เพื่อให้ปากคำชี้แจงกรณีมีเช็คมูลค่า 26 ล้านบาท สั่งจ่ายเข้าบัญชีของ นางเกศินี เพื่อซื้อหุ้นผู้มีอุปการคุณ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยหุ้นดังกล่าวมีการกระจายให้กับพนักงาน บริษัท ฮาวคัม จำกัด และ บริษัท มาสเตอร์โฟน จำกัด ที่มี นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท
พ.ต.ท.สมบูรณ์ เปิดเผยว่า เบื้องต้น นางเกศินี ยอมรับว่ามีการโอนเงินจากผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร เข้าไปในบัญชีของตัวเองจริง ส่วนรายละเอียดขออนุญาตไม่เปิดเผยเพราะเป็นเรื่องของสำนวน ดีเอสไอจะกลับไปประชุมกับคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพิจารณาสำนวนและดูรายละเอียดต่างๆ ถ้าสงสัยประเด็นใดจะเรียกมาสอบเพิ่มเติมได้ สำหรับ นายพานทองแท้ ชินวัตร กับ นางกาญจนาภา ได้นัดหมายเดินทางมาในวันที่ 4 มี.ค.นี้ โดยนายพานทองแท้ จะมาชี้แจงประเด็นที่มีจำนวนเงินเข้าไปในบัญชี 10 ล้านบาท ส่วนนางกาญจนาภาก็สอบประเด็นคล้ายๆ กันโดยจะเชิญทั้ง 2 รายมาสอบในฐานะพยาน
“คดีนี้สอบพยานไปแล้วเกือบ 200 ปาก หรือประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ดีเอสไอจะพยายามเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย.นี้ โดยพยานทุกปากที่ ดีเอสไอ เรียกมาเป็นในฐานะผู้รับเงินหรือรับเช็คจากกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร เพื่อสอบถามที่ไปที่มา เช่นเดียวกับผู้ต้องหาที่ถูกขังในเรือนจำก็ต้องไปสอบเพิ่ม” พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าว
** “โอ๊ค” โวยดีเอสไอ 2 มาตรฐาน
สำหรับความเคลื่อนไหวของ นายพานทองแท้ ได้มีการโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ระบบสองมาตรฐานยังคงมีอยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่เปลี่ยนแปลง โดยหนังสือที่ดีเอสไอส่งเรียกตนไปสอบถามทุกฉบับนั้น ส่งเรียกไปให้ข้อมูลในฐานะพยาน เช่นเดียวกับคนอีก 200-300 คน ที่มีกระแสการเงินเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีทั้งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นายตำรวจ มูลนิธิฯ สถาบันการเงิน แต่การเรียกตัวบุคลเหล่านั้นไปสอบทำอย่างเงียบเชียบ ขณะที่เอกสารยังไม่ทันถึงมือตน สื่อมวลชนกลับลงข่าวก่อนที่ตนจะทราบเรื่องเสียอีก แถมยังมีแหล่งข่าวจากดีเอสไอที่ไม่ประสงค์จะออกนามออกมาให้สัมภาษณ์ในทางเป็นลบ ราวกับว่าตนตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว
“สำหรับตัวผมนั้น ถ้าแห่กลองยาวมาได้ คงถือหนังสือพร้อมส่งเสียงโห่นำขบวนมาแล้ว ฝ่ายที่อคติกับตัวผมใช้ช่องทางผ่านสื่อ บางคนใช้เป็นเกมทางการเมืองไม่คำนึงถึงความถูกผิดขอให้ใส่ร้ายไว้ก่อน ยิ่งกว่าผู้กระทำความผิด ทั้งที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและยินดีให้ข้อมูลหลักฐานกับ DSI เพื่อพิสูจน์ความจริงและความบริสุทธิ์ได้” นายพานทองแท้ ระบุ
** ขู่ฟ้องหมิ่นฯสื่อเสนอข่าวล้ำเส้น
ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายพานทองแท้ ได้ส่งเอกสารแจ้งสื่อมวลชนระบุความตอนหนึ่งว่า นายพานทองแท้ได้ถูกเรียกมาให้ถ้อยคำ และส่งมอบเอกสารหลักฐานในฐานะพยาน เพื่อเป็นประโยชน์แก่พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีนี้เท่านั้น ดังนั้นหากมีการเสนอข่าวในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่า นายพานทองแท้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ หรือตกเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานฟอกเงิน จะถือว่าเป็นการนำเสนอข่าวเพื่อผลทางการเมือง
“คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ จะพิจารณาเสนอให้นายพานทองแท้ มอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อบุคคลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานหมิ่นประมาท เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและปกป้องชื่อเสียงต่อไป” น.ส.ขัตติยา ระบุ.
วานนี้ (25 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ โจมตีรัฐบาลและการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า ตั้งแต่รัฐประหารมาเกือบ 2 ปี ต้องยอมรับว่า นายทักษิณให้สัมภาษณ์ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการรัฐประหารครั้งก่อน คิดว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้นายทักษิณเลือกจังหวะที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น คือ 1.คดีความที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในครอบครัวกำลังเดินหน้างวดเข้ามามากขึ้น และ 2. ร่างรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการลงประชามติ ซึ่งที่ผ่านมา นายทักษิณเองก็มีการจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ บริษัทที่ทำงานล็อบบี้ ซึ่งก็จะสามารถช่วยให้เข้าถึงสื่อต่างๆเหล่านี้ได้ ขณะที่โลกตะวันตก ก็ไม่ชอบการรัฐประหารอยู่แล้ว ก็อาจจะได้รับเสียงสนับสนุนบ้าง อย่างไรก็ตามตนไม่ได้มองว่านี่คือความล้มเหลวของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการสร้างความปรองดอง แต่หากบอกว่ามีการฮั้วคดีกัน ตรงนี้น่าจะเป็นความล้มเหลวมากกว่า
** เตือน คสช.รับคำ “แม้ว” พังแน่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง หาก คสช. ทำงานเสร็จ และมีการปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรง การเผชิญหน้า โดยไปเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คสช.ก็จะถูกมองว่าไม่ประสบความสำเร็จในการทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากสภาพปัญหาเดิมๆ หรือหากต่างประเทศยังบอกว่า ไทยยังมีความไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ชอบธรรม คุณทักษิณยังกลายเป็นตัวแทนของระบอบประชาธิปไตยสำหรับสื่อต่างประเทศ เหล่านี้ก็ถือเป็นความล้มเหลว ส่วนความเคลื่อนไหวจะมีผลมากแค่ไหน เวลาจะเป็นตัวบ่งบอก โดยเฉพาะถ้ามีการพยายามที่จะระดมคนมากดดันเรื่องคดีความ แสดงว่า ยังเป็นปัญหาอยู่
“หากจะเจรจากันเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว หรือเอาตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย ไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าพูดคุยเรื่องของอนาคตของประเทศ คงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะตั้งตัวขึ้นมาให้พูดคุยกัน หากมีการยินยอมตามความต้องการของนายทักษิณ ผมบอกได้เลยว่า บ้านเมืองไม่มีทางสงบ เพราะเห็นมาแล้วจากปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้น" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** “นพดล” ปัด “นายใหญ่” จ้างล็อบบี้ยีสต์
อีกด้าน นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวตอบโต้นายอภิสิทธิ์ในประเด็นที่ระบุว่า นายทักษิณมีการจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ หรือบริษัทที่ทำงานล็อบบี้เพื่อเข้าถึงสื่อต่างๆว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดไม่เป็นความจริง เป็นการมโนไปเองและต่ำกว่ามาตรฐานของคนที่เคยเป็นนายกฯ เนื่องจากนายทักษิณไม่เคยเสนอขอเจรจา แต่เพียงเสนอให้ทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งในไทยได้พูดคุยกัน เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะไม่มีการต่อรองใดๆเกี่ยวกับคดีความ ทั้งนี้ สื่อต่างประเทศเข้าคิวขอสัมภาษณ์นายทักษิณเป็นจำนวนมาก จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์และลอบบี้ยิสต์เพื่อให้มาสัมภาษณ์ และไม่มีการจ้างตามที่กล่าวหา
** “ดีเอสไอ” สอบแม่-สามี “เลขาฯหญิงอ้อ”
วันเดียวกัน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางเกศินี จิปิภพ มารดา นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และนายวันชัย หงส์เหิน สามีนางกาญจนาภา เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ และนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานการสอบสวน เพื่อให้ปากคำชี้แจงกรณีมีเช็คมูลค่า 26 ล้านบาท สั่งจ่ายเข้าบัญชีของ นางเกศินี เพื่อซื้อหุ้นผู้มีอุปการคุณ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยหุ้นดังกล่าวมีการกระจายให้กับพนักงาน บริษัท ฮาวคัม จำกัด และ บริษัท มาสเตอร์โฟน จำกัด ที่มี นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท
พ.ต.ท.สมบูรณ์ เปิดเผยว่า เบื้องต้น นางเกศินี ยอมรับว่ามีการโอนเงินจากผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร เข้าไปในบัญชีของตัวเองจริง ส่วนรายละเอียดขออนุญาตไม่เปิดเผยเพราะเป็นเรื่องของสำนวน ดีเอสไอจะกลับไปประชุมกับคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพิจารณาสำนวนและดูรายละเอียดต่างๆ ถ้าสงสัยประเด็นใดจะเรียกมาสอบเพิ่มเติมได้ สำหรับ นายพานทองแท้ ชินวัตร กับ นางกาญจนาภา ได้นัดหมายเดินทางมาในวันที่ 4 มี.ค.นี้ โดยนายพานทองแท้ จะมาชี้แจงประเด็นที่มีจำนวนเงินเข้าไปในบัญชี 10 ล้านบาท ส่วนนางกาญจนาภาก็สอบประเด็นคล้ายๆ กันโดยจะเชิญทั้ง 2 รายมาสอบในฐานะพยาน
“คดีนี้สอบพยานไปแล้วเกือบ 200 ปาก หรือประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ดีเอสไอจะพยายามเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย.นี้ โดยพยานทุกปากที่ ดีเอสไอ เรียกมาเป็นในฐานะผู้รับเงินหรือรับเช็คจากกลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร เพื่อสอบถามที่ไปที่มา เช่นเดียวกับผู้ต้องหาที่ถูกขังในเรือนจำก็ต้องไปสอบเพิ่ม” พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าว
** “โอ๊ค” โวยดีเอสไอ 2 มาตรฐาน
สำหรับความเคลื่อนไหวของ นายพานทองแท้ ได้มีการโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ระบบสองมาตรฐานยังคงมีอยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่เปลี่ยนแปลง โดยหนังสือที่ดีเอสไอส่งเรียกตนไปสอบถามทุกฉบับนั้น ส่งเรียกไปให้ข้อมูลในฐานะพยาน เช่นเดียวกับคนอีก 200-300 คน ที่มีกระแสการเงินเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีทั้งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นายตำรวจ มูลนิธิฯ สถาบันการเงิน แต่การเรียกตัวบุคลเหล่านั้นไปสอบทำอย่างเงียบเชียบ ขณะที่เอกสารยังไม่ทันถึงมือตน สื่อมวลชนกลับลงข่าวก่อนที่ตนจะทราบเรื่องเสียอีก แถมยังมีแหล่งข่าวจากดีเอสไอที่ไม่ประสงค์จะออกนามออกมาให้สัมภาษณ์ในทางเป็นลบ ราวกับว่าตนตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว
“สำหรับตัวผมนั้น ถ้าแห่กลองยาวมาได้ คงถือหนังสือพร้อมส่งเสียงโห่นำขบวนมาแล้ว ฝ่ายที่อคติกับตัวผมใช้ช่องทางผ่านสื่อ บางคนใช้เป็นเกมทางการเมืองไม่คำนึงถึงความถูกผิดขอให้ใส่ร้ายไว้ก่อน ยิ่งกว่าผู้กระทำความผิด ทั้งที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและยินดีให้ข้อมูลหลักฐานกับ DSI เพื่อพิสูจน์ความจริงและความบริสุทธิ์ได้” นายพานทองแท้ ระบุ
** ขู่ฟ้องหมิ่นฯสื่อเสนอข่าวล้ำเส้น
ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายพานทองแท้ ได้ส่งเอกสารแจ้งสื่อมวลชนระบุความตอนหนึ่งว่า นายพานทองแท้ได้ถูกเรียกมาให้ถ้อยคำ และส่งมอบเอกสารหลักฐานในฐานะพยาน เพื่อเป็นประโยชน์แก่พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีนี้เท่านั้น ดังนั้นหากมีการเสนอข่าวในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่า นายพานทองแท้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ หรือตกเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานฟอกเงิน จะถือว่าเป็นการนำเสนอข่าวเพื่อผลทางการเมือง
“คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ จะพิจารณาเสนอให้นายพานทองแท้ มอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อบุคคลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานหมิ่นประมาท เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและปกป้องชื่อเสียงต่อไป” น.ส.ขัตติยา ระบุ.