ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เมื่อก่อนยังเหนียมอายกับการรับสภาพว่า ตัวเองเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่เดี๋ยวนี้พูดได้เต็มปากเต็มคำ โดยเฉพาะเวลาถูกนักการเมืองกระตุกหนวดเสือตะวันออก
หลายกรรมหลายวาระ เวลาพวกนักเลือกตั้งอาชีพวิพากษ์วิจารณ์แบบล้ำ เส้น “บิ๊กตู่” ฮึ่มแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ขู่จะงัดอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” ไปกำราบให้สงบปากสงบคำอยู่บ่อยๆ
คสช.ต้อน “ระบอบแม้ว” เข้ามุม
อย่างการเมืองในช่วงนี้ที่มีความพยายามจะเลี้ยงกระแสมวลชนให้คุกรุ่นจากฝ่าย “เพื่อไทย” จากกรณีการดำเนินเรียกค่าเสียหายจาก “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” ยังจ้องจะคว้าไม้เรียวมาหวดอยู่มะรอมมะร่อ ตั้งแต่คิวแกนนำพรรคเพื่อแม้ว ออกมาสวมเสื้อแดงยั่วประสาท เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ขนาด “น้องเดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หนึ่งในบุคคลที่ร่วมแคมเปญเฉดแดง ยังถูกทหารเข้าไปนั่งจิบกาแฟสนทนาคล้อยหลังเพียง 1 วัน เพื่อเป็นการป้องปราม
หรือแม้แต่คิวใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 39/2558 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้รับผิด เพื่อเป็นการสวนหมัดกลับ ในช่วงเวลาที่องคาพยพพรรคเพื่อไทยกำลังได้ใจโขยกใส่รัฐบาลกันสนุก ตามยุทธศาสตร์จุดชนวนเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อเป็นการสร้างแนวร่วมชาวนาออกมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้
ใครซ่า ใครเปรี้ยว “บิ๊กตู่” มือไวคว้ากระบองขู่ทันควัน ไม่ปล่อยให้ลามปามจนบานปลายกลายเป็นกระแสวุ่นวายกันขึ้นมาอีก ตามสถานการณ์ “เซนซีทีฟ” ที่ห้ามมองข้ามแม้แต่จุดเล็กๆ ที่พอจะเป็นเชื้อฟืนได้
อ่านใจ “บิ๊กตู่” ตอกกลับ “หนูปู” ด้วยมาตรา 44 ตอนนี้เริ่มจะชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือคดีแพ่งที่รัฐบาลเตรียมจะออกคำสั่งทางปกครองเพื่อยึดทรัพย์ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าว
สัญญาณแจ่ม “ล่อกันสุดซอย” แน่งานนี้
เช่นเดียวกับฝ่าย “หนูปู” ที่เลิกลุ้นเลิกสู้ในชั้นกระบวนการยุติธรรม เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ “คุก” ก็ “ล้มละลาย” หรือไม่ก็สองเด้ง ทั้ง “คุก” ทั้ง “ล้มละลาย” เหลือทางเดียวที่จะพลิกกลับหักมุมในตอนท้ายได้ทางเดียวคือ “เกมมวลชน” ฟอกโกง
“นช.แม้ว” ลุยเองเปิดแนวรบโซเชียล
ศึกหนนี้คนที่ออกมารับไม้นำเกมไม่ใช่บรรดาแกนนำเสื้อแดงอย่างที่คาดการณ์กันไว้ กลับเป็น “นช.แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มขยับออกมาเดินเกมกางปีกปกป้องน้องสาวของตัวเอง ดูได้จากอีเว้นต์การใส่เสื้อแดงให้กำลังใจ “น้องปู” เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเล่นไปคนละคีย์กับทาง “นปช.ส่วนกลาง” ซึ่งมี “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ค้ำบัลลังก์ประธาน นปช.อยู่
เป็น “ตู๊ดตู่” ที่ออกมาติดเบรกบรรดาลิ่วล้อว่า อย่าไปทะลึ่งงัดเสื้อแดงมาใส่ตามที่มีการเชิญชวนในสังคมออนไลน์ แถมพูดไปถึงขนาดใครใส่เสื้อแดงวันนั้น เป็นไอ้โง่ ไม่ทันเกมรัฐบาลทหาร ที่หวังล่อให้ออกมาติดกับ
ไปๆมาๆ กลายเป็น “พ่อแม้ว” ที่ลงทุนชอปปิ้งเสื้อแดงจากแบรนด์ดังมาใส่พร้อมโพสต์รูปลงโซเชียลเย้ยรัฐบาล คสช.ที่ขู่ฟ่อว่า ใครป่วนจะโดนเล่นงานหนัก งานนี้ส่งสัญญาณกลายๆว่า จะขอรับบท “แม่ทัพ” นำมวลชนชนกับรัฐบาลทหารเอง ในทางกลับกันก็เป็นการตบหน้า “ตุ๊ดตู่” อย่างแรง ส่อแววจะถีบหัวส่งอยู่รอมร่อ
เหตุที่ “ทักษิณ” ทำท่าจะเลิกใช้บริการ “โจกแดง” เพราะรู้ตัวแล้วว่า เงินไปงานถึงเดิน ที่ผ่านมาก็โดนสูบไปละลายแม่น้ำทิ้งเล่นหลายต่อหลายหนแล้ว ฝั่ง “โจกแดง” เองก็เเห้งเหี่ยวไร้น้ำเลี้ยงตกถึงท้อง จะขยับหยิบจับอะไรก็ไม่มี เรี่ยวแรง แถมเจอคำขาดจากการปรับทัศนคติในค่ายทหารหนล่าสุดที่ว่า หากใครล้ำเส้น เจอถอนประกันแน่
งานนี้ “โจกแดง” ถึงกับแปลงกายเป็น “เด็กดี” ว่านอนสอนง่ายโดยพลัน เพราะมีคดีความคั่งค้างอยู่เป็นหางว่าว “ทักษิณ” เองก็รู้ข้อจำกัดที่ว่า หากยังเล่นเกมเดิมๆ ก็ไม่วายโดน คสช.ที่มีดาบอาญาสิทธิ์ไล่หวดกระเจิง แม่ทัพ-นายกองก็เสี่ยงเข้าคุกเข้าตาราง จึงปรับแผนเปลี่ยนเกมมาเล่นสงครามสัญลักษณ์ปั่นกระแสทางโซเชียล ในยุค 4G ดีกว่า
ด้าน “น้องปู” ก็เตี๊ยมกับพี่ชายเรียบร้อย จัดหนักจัดเต็มช่วงสองสัปดาห์มานี้มีอีเว้นทต์ให้ไปร่วมแทบทุกวัน โพสต์เฟซบุ๊กแบบนอนสต็อป งานบุญ งานประเพณีไม่มีพลาด ส่งลูกชายไปโรงเรียนก็ต้องเช็กอินขำๆ กระทั่งแวะซดเกาเหลายังโพสต์ว่า “ไม่มีเส้น” ให้เป็นประเด็น
ที่ทำเอาแฟนคลับงงเป็นแถบ ก็โพสต์รำลึกครบรอบวันเสียชีวิตของ “นวมทอง ไพรวัลย์” ที่ผูกคอตายประท้วงการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยเห็น “ยิ่งลักษณ์” พูดถึง จนเจอแซวว่า โหนศพลุงนวมทองสร้างกระแส แต่ก็เป็นเรื่องที่สื่อนำมาเสนอข่าวพอสมควร
แว่วๆว่า สงครามโซเชียลหนนี้ ทำเอาท่านหัวหน้า คสช.ฉุนเฉียวไม่น้อยทีเดียว
ระวัง “สงครามไซเบอร์” เปิดจุดอ่อน คสช.
คำว่า “สงครามไซเบอร์” เป็นที่พูดถึงมาสักพักใหญ่ เห็นๆกันล่าสุดจากกรณีต่อต้านนโยบาย Single Gateway ที่รัฐบาล คสช.เจอฤทธิ์ “เกรียนคีย์บอร์ด” รวมกันเฉพาะกิจนัดหมายเข้าเว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่ง ก่อนพร้อมใจกระหน่ำปุ่ม F5 จนล่มใช้การไม่ได้ไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แถมล้วงคองูเห่าเข้าไปป่วนกรมการเงินทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย จนเออเร่อไปพักใหญ่
ถัดมาไม่นานก็เป็น “บิ๊กเต้” พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ที่ออกมาเปิดเผยเองว่า ทางกองทัพจะจัดตั้ง “กองสงครามไซเบอร์” ขึ้น โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้สงครามทางไซเบอร์นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จึงต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมารับมือ
เรื่อง Single Gateway กับ “กองสงครามไซเบอร์” จึงถูกนำมาผูกโยงกันอย่างปฏิเสธไม่ได้
ขณะที่ “บิ๊กตู่” ก็ออกมาชี้แจงว่า เรื่องการตั้ง Single Gateway เป็นเพียงแนวทางที่อยู่ระหว่างศึกษาเท่านั้น ขณะที่กองสงครามไซเบอร์ ก็เป็นหน่วยงานทหารสื่อสารของกองทัพไทยอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่
พร้อมขอร้องให้คนไทยอย่าตื่นตระหนกกับ 2 เรื่องที่ว่า แต่ก็ไม่สามารถหยุดความคิดคนได้ เพราะมีการมโนไปไกลแล้วว่า การตั้งกองสงครามไซเบอร์ขึ้น เพื่อทำสงครามกับกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐบาล คสช.ซึ่งก็หมายรวมไปถึงทีมงานของ “ระบอบแม้ว” รวมทั้งตัว “ทักษิณ” เองด้วย
มีข่าวหลุดลอดออกมาจากตึกไทยคู่ฟ้าว่า “บิ๊กตู่” ไม่ปลื้มที่มีการเคลื่อนไหวในสังคมออนไลน์ของทั้ง “พี่แม้ว - น้องปู” และสื่อนำเสนอต่อ โดยเฉพาะ “สื่อหัวแดง” ที่ถูกท่านผู้นำตำหนิด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นประจำ เพราะทำหน้าที่โทรโข่งป่าวประกาศข่าวความเคลื่อนไหวของ “ระบอบแม้ว” ราวกับเป็นพีอาร์ส่วนตัว
ช่วงเวลาเดียวกัน เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดรัฐบาล คสช.เมื่อจู่ๆ กลุ่มแฮกเกอร์ระดับโลกนาม “Anonymous” ประกาศแคมเปญติดแฮชแทค #OpSingleGatewayพร้อมออกแถลงการณ์โจมตีรัฐบาลไทย เนื่องจากไม่พอใจนโยบาย Single Gateway ที่ละเมิดเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชน ก่อนเริ่มลงมือเป็นการอุ่นเครื่องโดยการเจาะเว็บไซต์ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT Telecom ก่อนนำเอาข้อมูลลูกค้าไปเผยแพร่พันกว่าราย ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงแรงงาน เจอถล่มจนล่มไปด้วย
ทำเอา “บิ๊กตู่” ควันออกหูสั่งการให้กระทรวงไอซีทีคว้าหาแฮกเกอร์ “Anonymous” ให้เจอ กลายเป็นโจ๊กตลกในโลกออนไลน์ที่รัฐบาลไทยหาญกล้าจะต่อกรกับแฮกเกอร์กลุ่มนี้ที่ไล่ถล่มเว็บไซต์ระดับโลกมาแล้วนักต่อนัก ขนาดเพนตากอนของสหรัฐฯยังไม่รอด ท้ายที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีก็ต้องออกมายอมรับว่า หาไม่เจอ
น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นในแถลงการณ์ของ “Anonymous” นอกเหนือจากการต่อต้านโครงการ Single Gateway แล้วยังระบุด้วยว่า จะเปิดโปงความไม่โปร่งใสของรัฐบาล คสช. ให้โลกได้รับรู้ ทั้งเรื่องคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆอีกด้วย
และถ้าคำท้าทายของ “Anonymous” ผ่านทวิตเตอร์ที่ว่า “นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย แล้วเจอกัน” ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ก็น่าเป็นห่วงรัฐบาล คสช.
คิดเล่นๆตามทฤษฎีสมคบคิด ถ้า “ระบอบแม้ว” แตะมือกับ “Anonymous” คำขู่ที่ว่า จะเปิดโปง คสช.ก็มีน้ำหนักขึ้นมหาศาล ฝ่ายหนึ่งป้อนข้อมูล อีกฝ่ายบรรเลงผ่านโลกออนไลน์
ทีนี้ล่ะ งามไส้!! โดยเฉพาะเรื่องการรื้อ 12 คดีดังที่มีเสียงเรียกร้องว่าให้นำโครงการที่เกี่ยวกับกองทัพมาไล่เบี้ยหาคนผิดด้วย โดยเฉพาะเรื่องไม้ล้างป่าช้า GT200 ที่คนขายถูกตัดสินติดคุกจนจะพ้นโทษอยู่แล้ว แต่คนซื้อยังลอยนวล เช่นเดียวกับเรือเหาะราคาหลายร้อยล้าน ที่ยังไม่ทันใช้ก็แทงจำหน่ายเป็นของชำรุดเสียแล้ว รวมไปถึงงบลับจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อีกเพียบเมื่อสมัยที่บรรดาบิ๊ก คสช.ยังรับราชการอยู่
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนไล่เช็คบิลคนอื่น ต้องชำระล้างตัวเองให้สะอาดเสียก่อน
“พระคุณ” เอาไม่อยู่ ใช้ “พระเดช” กำราบ
“บิ๊กตู่” ก็อ่านเกมของคู่ต่อสู้ออก เห็นท่าไม่ดีก็ไล่บล็อกกันทุกทาง จนถูกประชดประชันเล่นๆ ว่า นาทีนี้แม้แต่เสียงของตก ยังระแวงคว้าไม้เรียว
ยุทธศาสตร์ของ “แป๊ะ” ตอนนี้ สำหรับฝ่ายการเมืองต้องใช้แต่ “พระเดช” อย่างเดียว ส่วน “พระคุณ” ไม่สามารถช่วยให้นักการเมืองที่เขี้ยวลากดินสวามิภักดิ์หรือสงบเสงี่ยมเจียมตัวได้
ลอกทุกโมเดลทุกความผิดพลาดที่ “รัฐบาลขิงแก่” ของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นบทเรียน โดยเฉพาะเรื่องกระแสต้านที่ยุคนั้นมีการผ่อนปรนจนม็อบได้ใจ พลันจะคว้าไม้แข็งกลับมาใช้ก็กลายเป็นดื้อยา ไม่มีใครกลัว มาถึงยุคนี้เมื่อคิดจะแข็งแล้วต้องไม่มีอ่อน เพราะถ้า “อ่อน” จะกลับมา “แข็ง” ยาก
ต่อให้ใครจะหาว่า คุกคามสิทธิเสรีภาพกันเกินเหตุ แต่เพื่อรักษาการใหญ่ “บิ๊กตู่” ก็ยอมโดนด่าว่า เป็น “เผด็จการ” เพราะได้ไม่คุ้มเสีย ตามเงื่อนไขบังคับให้หัวหน้าคสช. ต้องกุมสถานการณ์ให้ได้ ทั้งจากนี้และต่อไปจนกว่าจะเสร็จภารกิจ
เรื่องของเรื่องเพราะประเทศไทยตอนนี้เดินมาถึงทางแยกสำคัญหลายทาง ถ้าคุมสถานการณ์ไม่ได้ งานจะยักษ์จะใหญ่กว่านี้อีกหลายเท่าตัว ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่า ภารกิจของ “บิ๊กตู่” ไม่ได้มีแค่ “ปฏิรูป” และ “รัฐธรรมนูญ” อย่างเดียว
เหมือนที่ “โหร คมช.” วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังที่มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นนายทหาร นายตำรวจ และนักการเมืองเป็นโขยง ทำนายทายทักหลายรอบว่า “บิ๊กตู่” ต้องอยู่บริหารประเทศไปอีก 2 - 3 ปี กว่าบ้านเมืองจะกลับมาสงบเหมือนในอดีต
“ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองก็คลี่คลายลงมาก แต่คาดว่า คงต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี กว่าบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขเหมือนเมื่อครั้งในอดีต มองว่าพล.อ.ประยุทธ์ต้องทำงานเหนื่อยเพื่อประเทศชาติอีกหลายปี แต่เชื่อว่า บุญบารมีของตัวท่านเอง รวมถึงบุคคลใกล้เคียงจะทำให้ฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปได้ด้วยดี”
“โหรวารินทร์” ทำนายว่า “บิ๊กตู่” ต้องอยู่อีกหลายปี ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า โรดแมปคสช. ปัจจุบันจะสิ้นสุดในกลางปี 2560 หรืออีกแค่เกือบ 2 ปีเท่านั้น
หมอเดาโยนหิน อยู่ยาวไม่ไลฟ์บอย
น่าสนใจกับ “ตาทิพย์” เที่ยวนี้ว่า เหตุใดจึงทำนายออกไปเกินโรดแม็ป หากเป็นโหรคนอื่นมาทักยังไม่เท่าไหร่ เข้าใจได้ว่า คำนวณตามหลักโหราศาสตร์ แต่พอเป็น “โหร คมช.” ต้องฟังหูไว้หูเหมือนกันว่า ตกลงเป็น “คำทำนาย” หรือ “ข้อเท็จจริง”
เพราะแม้ “บิ๊กตู่” จะออกมาพูดถึงคำทำนายนี้ว่า “ไม่ยาว ไม่สั้นหรอก กรกฎาคม 2560 ก็ไปแล้วก็เขาเขียนกฎหมายไว้อย่างนั้น จะไปอะไรอย่างอื่น คงไม่ได้ อยู่ไปก็ไลฟ์บอย”
แต่ทุกคนทราบกันดีถึงความแนบแน่นของ “โหรวารินทร์” กับบิ๊กๆใน คสช.
อย่างคราวก่อนตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญของ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ล่ม ก็ “โหรวารินทร์” นี่แหละทำนายว่า “บิ๊กตู่” จะอยู่อย่างน้อยอีก 2 - 3 ปี ทั้งที่หากวันนั้นร่างรัฐธรรมนูญของ “ดร.ปื๊ด” ผ่านไปได้ อายุรัฐบาลจะหดสั้นแค่ปี 2559
แม่นอย่างกับไปได้ยิน “แป๊ะ” คุยกันมา!
“โหรวารินทร์” เองแตกต่างจากโหรคนอื่นๆ เพราะอยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายอำนาจในปัจจุบัน เป็นที่ศรัทธาของ “บิ๊กตู่” และนายทหารในคสช.หลายคน หลายเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการก็เชื่อคำทนายของโหรรายนี้
อย่าลืมว่า “พี่น้อง 3 ป.” ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ “บิ๊กตู่” ต่างก็เชื่อในโหราศาสตร์อยู่พอตัวเลยทีเดียว เรื่องดวง เรื่องดาว เรื่องการวางตัวมีเสียงซุบซิบให้ได้ยินกันบ่อยๆ
ฉะนั้น นอกจากจะมองว่าที่ “โหรวารินทร์” ทำนายแบบนั้นเพราะเชียร์รัฐบาลชุดนี้เป็นทุนเดิมแล้ว มองอีกแง่หนึ่งแบบคิดมากหน่อยก็อาจดูเป็น “การโยนหินถามทาง” ได้เหมือนกัน
เพราะพลันที่ “โหรวารินทร์” ทำนายออกมาก็มีบางส่วนออกมาตะโกนเชียร์ให้ “บิ๊กตู่” อยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าบ้านเมืองจะสงบ แม้แต่การหลุดประโยค หากไม่สงบก็ปิดประเทศกันไป ยังมีคนหน้ามืดตามัวยกมือหนุน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า หากเป็นจริงจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใดกับสถานการณ์ในประเทศ รวมทั้งแรงกดดันจากภายนอก
แม้ภายหลัง “บิ๊กตู่” จะรีบออกมาชี้แจงว่า ไม่ได้มีเจตนาจะปิดประเทศ แต่เป็นการอธิบายให้ฟังว่า หากปัญหามันไม่จบ สุดท้ายเราก็จะเหมือนปิดประเทศอยู่ดี แต่ก็ยังมีคนตีความว่า หากสถานการณ์เดินไปถึงจุดที่ทุกคนไม่อยากให้เป็นในวันหนึ่ง เราก็อาจต้องปิดประเทศเพื่อเคลียร์ปัญหาภายในให้จบเสียก่อน ก่อนจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง!
ฟังดูแม้จะดูเหมือนเป็นไปได้ยาก แต่ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อบ้านเราถึงทางแยกสำคัญหลายแยกเหลือเกิน.