รัฐบาลต้องมีธรรมาภิบาล-เป็นสิ่งที่ “ท่านพุทธทาส” เน้นเป็นพิเศษ...
น่าทึ่งที่ “ท่านพุทธทาส” มองสังคมทุนนิยม ด้วยความเป็นห่วงมานานแล้ว ที่คนส่วนน้อยเอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้โลกไร้ศานติสุขไปทุกหย่อมหญ้า
“คณะผู้เรียบเรียง” ได้ขยายความ ธรรมของ “ท่านพุทธทาส” ไว้ในหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” หน้า 49 ว่า
“...มองสังคมฟุ้งเฟ้อที่อยู่รอบตัวด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ภาวนาขออย่าให้รัฐบาลใช้เทคโนโลยีหมุนธุรกิจเร็วจี๋อยู่ในขณะนี้ แก้ไขปัญหาผิดทางผิดพลาด พัดพาเอาพิษเศรษฐกิจมาโถมทำร้าย คน ‘ธรรมดาส่วนใหญ่’ ที่ยังไม่พร้อม...
เมื่อหันมองระบบสื่อสารที่ใช้กับธุรกิจในปัจจุบันนี้ เริ่มจากคลื่นเสียงวิทยุ พัฒนาสู่ระบบภาพโทรทัศน์ แล้วสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ดาวเทียม และดิจิตอล หน่วยความจำวิเคราะห์ประมวลผลเป็นข้อมูลภาพ เสียง ในการสื่อสารสั่งงานกันได้ทั้งในภาคธุรกิจ การเมือง การปกครอง การเมืองระหว่างประเทศ ทั้งด้านการทูตและสงคราม ทุกอย่างใช้ระบบคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ระบบดิจิตอลจึงเป็นพลวัตที่สามารถเปลี่ยนชะตาชาวโลกที่เคยควบคุมได้ ให้โลกใกล้จะหมดอำนาจควบคุมมันแล้ว โดยไม่รู้ตัว แม้แต่สหรัฐฯ เองก็เถอะ”
นั่นเป็นสิ่งที่ระบุอยู่ในหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ซึ่งพิมพ์ตั้งแต่ปี 2546 นานถึง 13 ปีแล้ว แต่ World Economic’s Forum 2016 ที่ Davos บรรดาผู้นำระดับมันสมองของโลก เพิ่งจะประชุมถึงปัญหาร้ายแรงของโลกที่ต้องแก้ไข หนึ่งในนั้น คือ ปัญหาอาชญากรรมในโลกโซเชียลมีเดีย ที่เริ่มควบคุมกันไม่ได้ และเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในปัจจุบันและอนาคตไปแล้ว!
อีกเรื่องที่ก่อเกิดความไม่สงบในโลก คือ คนรวยแค่ 1% ของโลกครอบครองสินทรัพย์กว่า 50% ของโลกแล้ว!
เหตุการณ์ในประเทศไทยก็ไม่ต่างไปจากสถานการณ์โลก รัฐบาลทุนสามานย์ที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยเงิน กับรัฐบาลรัฐประหารที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยปืน ซึ่งไม่เคยคิดจะปฏิรูปชาติอย่างจริงจังเพื่อคนส่วนใหญ่ แต่กลับไปรับใช้แต่คนร่ำรวย ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ถ่างกว้างมากขึ้นจนน่าตระหนก!
ธรรมของ “ท่านพุทธทาส” และ “คณะเรียบเรียง” หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เรียกร้องว่า
“สิ่งที่รัฐบาลดีๆ ควรจะคิดทำ ก็คือ จะบริหารอย่างไรให้คนจนมีความเป็นอยู่ที่สุขสงบได้ โดยไม่ถูกใครเอาเปรียบ!”
นั่นเป็นความหวังของ “ท่านพุทธทาส” และ“คณะผู้เรียบเรียง” หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ซึ่งตรงกับความต้องการของคนไทยทั้งชาติ แต่การเมืองไทยภายใต้อิทธิพลของทุนสามานย์ ดูจะยิ่งเป็นไปไม่ได้ดังหวังมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะแทบทุกรัฐบาล...โดยเฉพาะยุคเหลี่ยมกับเครือข่าย ที่ทำตนเป็น “ลิงหลอกเจ้า” โกหกผู้คนว่า เป็นรัฐบาลที่ทำตามแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลทุนนิยมสามานย์ บริหารชาติด้วยกิเลสที่ไม่รู้จักพอ และยึดถือ “เงินเป็นพระเจ้า” โดยไร้คุณธรรมและธรรมาภิบาลอย่างสิ้นเชิง
หนังสือเล่มนี้จึงพูดถึง “ผู้นำชาติ” ว่า “การแก้ปัญหาแต่ละครั้ง ไม่ว่าปัญหาปากท้องหรือทางจิตใจ เรายังไม่พบเจอ CEO คนไหนใช้หลักธรรมะ หรือธรรมาภิบาลเลย”
“ฉะนั้น วงจรแห่งความหายนะคงจะต้องกลับมาใหม่ ถ้ามีการเกิดขึ้นของนักการเมืองทุนนิยม และนักธุรกิจที่สร้างบารมีอำนาจเงิน สามารถขยี้คู่แข่งให้แหลกสลายได้ เสียงเชียร์ให้สร้างพลวัตกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี เพื่อเร่งความร่ำรวยสูงสุดจะกลบเสียงธรรม วิธีพัฒนาวัตถุนี้จึงมุ่งไปทางตรงข้ามจากหลักศาสนา และจากหลักทฤษฎีพึ่งตนเองแบบ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ที่เหมาะกับปากท้องคนจนในชนบท ที่ยังขาดการศึกษาระบบใหม่ๆ ซึ่งมีจำนวนมากถึงร้อยละ 85”
หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ยังระบุไว้ว่า “มนุษย์เป็นมนุษย์ก็ต้องทำหน้าที่ของมนุษย์...” ถ้ามนุษย์ทำหน้าที่ของมนุษย์ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันก็ไม่เกิดปัญหาขึ้นมา “...ช่วยกันจำคำนี้ให้ดีว่า การทำหน้าที่ของตนนั่นแหละ คือการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าที่ไหน ที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องมาวัดก็ได้ ขอให้ทำหน้าที่แห่งความเป็นมนุษย์ของตนให้ถูกต้อง ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะทั้งนั้น”
“...มนุษย์ต้องทำหน้าที่ต่างกัน เพราะว่าในเนื้อในตัวนั้นมีสมรรถภาพทางกาย ทางจิต ทางสติปัญญาไม่เหมือนกัน แต่มาทำสุดความสามารถด้วยกันในการทำหน้าที่ของตน”
“...คนร่ำรวยคนฉลาดคนหนึ่ง เขาเป็นนายทุนร่ำรวยอะไรก็ตาม เขาก็ทำหน้าที่ได้กว้างขวางใหญ่โต ลึกซึ้ง แต่ระวังให้ดีนะ ถ้าเขาไม่มีธรรมะแล้ว ก็เลวกว่าคนกวาดถนนที่มีธรรมะ...ที่ไม่คอร์รัปชัน ไม่ทำผิดไม่ทำชั่ว ไม่ผิดศีลผิดธรรมอะไร เพราะฉะนั้น คนร่ำรวย คนมีอำนาจวาสนาแล้ว ก็ระวังให้ดีเถิด จะสูญเสียความเป็นมนุษย์เพราะไม่มีธรรมะ เพราะไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ มีแต่ความคดโกง คอร์รัปชัน”
คงต้องนำคำในหนังสือมาย้ำอีกครั้งว่า “อยู่ด้วยธรรมะคือมีสติปัญญา มีปัญญาคือรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร มีสติคือควบคุมให้การกระทำนั้น มันเป็นไปอย่างถูกต้อง มีสติปัญญาทำหน้าที่ของตน ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมนั่นแหละ...”
“ท่านพุทธทาส” สรุปพฤติกรรมมนุษย์ไว้ว่า “กำลังเดินผิดทาง” มนุษย์กำลังเป็นผู้อกตัญญูต่อธรรมชาติ ธรรมชาติสร้างโลกมาให้พร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่มนุษย์กลับกบฏและทำลายธรรมชาติเสียเอง!
(อ่านต่อพุธหน้า-ขอย้ำ! ควรอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างครบถ้วนด้วยตนเอง)
น่าทึ่งที่ “ท่านพุทธทาส” มองสังคมทุนนิยม ด้วยความเป็นห่วงมานานแล้ว ที่คนส่วนน้อยเอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้โลกไร้ศานติสุขไปทุกหย่อมหญ้า
“คณะผู้เรียบเรียง” ได้ขยายความ ธรรมของ “ท่านพุทธทาส” ไว้ในหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” หน้า 49 ว่า
“...มองสังคมฟุ้งเฟ้อที่อยู่รอบตัวด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ภาวนาขออย่าให้รัฐบาลใช้เทคโนโลยีหมุนธุรกิจเร็วจี๋อยู่ในขณะนี้ แก้ไขปัญหาผิดทางผิดพลาด พัดพาเอาพิษเศรษฐกิจมาโถมทำร้าย คน ‘ธรรมดาส่วนใหญ่’ ที่ยังไม่พร้อม...
เมื่อหันมองระบบสื่อสารที่ใช้กับธุรกิจในปัจจุบันนี้ เริ่มจากคลื่นเสียงวิทยุ พัฒนาสู่ระบบภาพโทรทัศน์ แล้วสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ดาวเทียม และดิจิตอล หน่วยความจำวิเคราะห์ประมวลผลเป็นข้อมูลภาพ เสียง ในการสื่อสารสั่งงานกันได้ทั้งในภาคธุรกิจ การเมือง การปกครอง การเมืองระหว่างประเทศ ทั้งด้านการทูตและสงคราม ทุกอย่างใช้ระบบคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ระบบดิจิตอลจึงเป็นพลวัตที่สามารถเปลี่ยนชะตาชาวโลกที่เคยควบคุมได้ ให้โลกใกล้จะหมดอำนาจควบคุมมันแล้ว โดยไม่รู้ตัว แม้แต่สหรัฐฯ เองก็เถอะ”
นั่นเป็นสิ่งที่ระบุอยู่ในหนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ซึ่งพิมพ์ตั้งแต่ปี 2546 นานถึง 13 ปีแล้ว แต่ World Economic’s Forum 2016 ที่ Davos บรรดาผู้นำระดับมันสมองของโลก เพิ่งจะประชุมถึงปัญหาร้ายแรงของโลกที่ต้องแก้ไข หนึ่งในนั้น คือ ปัญหาอาชญากรรมในโลกโซเชียลมีเดีย ที่เริ่มควบคุมกันไม่ได้ และเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในปัจจุบันและอนาคตไปแล้ว!
อีกเรื่องที่ก่อเกิดความไม่สงบในโลก คือ คนรวยแค่ 1% ของโลกครอบครองสินทรัพย์กว่า 50% ของโลกแล้ว!
เหตุการณ์ในประเทศไทยก็ไม่ต่างไปจากสถานการณ์โลก รัฐบาลทุนสามานย์ที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยเงิน กับรัฐบาลรัฐประหารที่ยึดอำนาจรัฐ-ด้วยปืน ซึ่งไม่เคยคิดจะปฏิรูปชาติอย่างจริงจังเพื่อคนส่วนใหญ่ แต่กลับไปรับใช้แต่คนร่ำรวย ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ถ่างกว้างมากขึ้นจนน่าตระหนก!
ธรรมของ “ท่านพุทธทาส” และ “คณะเรียบเรียง” หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” เรียกร้องว่า
“สิ่งที่รัฐบาลดีๆ ควรจะคิดทำ ก็คือ จะบริหารอย่างไรให้คนจนมีความเป็นอยู่ที่สุขสงบได้ โดยไม่ถูกใครเอาเปรียบ!”
นั่นเป็นความหวังของ “ท่านพุทธทาส” และ“คณะผู้เรียบเรียง” หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ซึ่งตรงกับความต้องการของคนไทยทั้งชาติ แต่การเมืองไทยภายใต้อิทธิพลของทุนสามานย์ ดูจะยิ่งเป็นไปไม่ได้ดังหวังมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะแทบทุกรัฐบาล...โดยเฉพาะยุคเหลี่ยมกับเครือข่าย ที่ทำตนเป็น “ลิงหลอกเจ้า” โกหกผู้คนว่า เป็นรัฐบาลที่ทำตามแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลทุนนิยมสามานย์ บริหารชาติด้วยกิเลสที่ไม่รู้จักพอ และยึดถือ “เงินเป็นพระเจ้า” โดยไร้คุณธรรมและธรรมาภิบาลอย่างสิ้นเชิง
หนังสือเล่มนี้จึงพูดถึง “ผู้นำชาติ” ว่า “การแก้ปัญหาแต่ละครั้ง ไม่ว่าปัญหาปากท้องหรือทางจิตใจ เรายังไม่พบเจอ CEO คนไหนใช้หลักธรรมะ หรือธรรมาภิบาลเลย”
“ฉะนั้น วงจรแห่งความหายนะคงจะต้องกลับมาใหม่ ถ้ามีการเกิดขึ้นของนักการเมืองทุนนิยม และนักธุรกิจที่สร้างบารมีอำนาจเงิน สามารถขยี้คู่แข่งให้แหลกสลายได้ เสียงเชียร์ให้สร้างพลวัตกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี เพื่อเร่งความร่ำรวยสูงสุดจะกลบเสียงธรรม วิธีพัฒนาวัตถุนี้จึงมุ่งไปทางตรงข้ามจากหลักศาสนา และจากหลักทฤษฎีพึ่งตนเองแบบ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ที่เหมาะกับปากท้องคนจนในชนบท ที่ยังขาดการศึกษาระบบใหม่ๆ ซึ่งมีจำนวนมากถึงร้อยละ 85”
หนังสือ “ใช้ธรรมะกับการเมือง” ยังระบุไว้ว่า “มนุษย์เป็นมนุษย์ก็ต้องทำหน้าที่ของมนุษย์...” ถ้ามนุษย์ทำหน้าที่ของมนุษย์ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันก็ไม่เกิดปัญหาขึ้นมา “...ช่วยกันจำคำนี้ให้ดีว่า การทำหน้าที่ของตนนั่นแหละ คือการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าที่ไหน ที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องมาวัดก็ได้ ขอให้ทำหน้าที่แห่งความเป็นมนุษย์ของตนให้ถูกต้อง ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะทั้งนั้น”
“...มนุษย์ต้องทำหน้าที่ต่างกัน เพราะว่าในเนื้อในตัวนั้นมีสมรรถภาพทางกาย ทางจิต ทางสติปัญญาไม่เหมือนกัน แต่มาทำสุดความสามารถด้วยกันในการทำหน้าที่ของตน”
“...คนร่ำรวยคนฉลาดคนหนึ่ง เขาเป็นนายทุนร่ำรวยอะไรก็ตาม เขาก็ทำหน้าที่ได้กว้างขวางใหญ่โต ลึกซึ้ง แต่ระวังให้ดีนะ ถ้าเขาไม่มีธรรมะแล้ว ก็เลวกว่าคนกวาดถนนที่มีธรรมะ...ที่ไม่คอร์รัปชัน ไม่ทำผิดไม่ทำชั่ว ไม่ผิดศีลผิดธรรมอะไร เพราะฉะนั้น คนร่ำรวย คนมีอำนาจวาสนาแล้ว ก็ระวังให้ดีเถิด จะสูญเสียความเป็นมนุษย์เพราะไม่มีธรรมะ เพราะไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ มีแต่ความคดโกง คอร์รัปชัน”
คงต้องนำคำในหนังสือมาย้ำอีกครั้งว่า “อยู่ด้วยธรรมะคือมีสติปัญญา มีปัญญาคือรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร มีสติคือควบคุมให้การกระทำนั้น มันเป็นไปอย่างถูกต้อง มีสติปัญญาทำหน้าที่ของตน ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมนั่นแหละ...”
“ท่านพุทธทาส” สรุปพฤติกรรมมนุษย์ไว้ว่า “กำลังเดินผิดทาง” มนุษย์กำลังเป็นผู้อกตัญญูต่อธรรมชาติ ธรรมชาติสร้างโลกมาให้พร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่มนุษย์กลับกบฏและทำลายธรรมชาติเสียเอง!
(อ่านต่อพุธหน้า-ขอย้ำ! ควรอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างครบถ้วนด้วยตนเอง)