ป้อมพระอาทิตย์
โดย โสภณ องค์การณ์
เห็นความพยายามของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลในการกระตุ้น อัดฉีด ให้เศรษฐกิจบ้านเราให้ฟื้นตัวด้วยมาตรการต่างๆ สารพัด ทุ่มเทงบประมาณเป็นแสนๆ ล้านบาทในโครงการขนาดใหญ่ ส่งเสริมการลงทุนด้วยวิธีจูงใจด้านภาษีอากร อวยกันสุดๆ ก็อยากประเมินผลได้เสีย
ดูแล้วว่าถ้ามาตรการแรกๆ ไม่ได้เรื่อง ก็จะทุ่มกันต่อไปอีก เข้ารกเข้าพง สิ้นเปลืองเงินงบประมาณ เงินกู้ สร้างภาระหนี้สินพอกพูน เหมือนอยู่ในสภาวะเลือดเข้าตา น่ากลัวเหลือเกินว่าผลสุดท้ายจะนำพาสู่บ้านเมืองสู่หายนะระยะยาวเพราะมาตรการสิ้นคิดสิ้นท่า
เห็นแววแล้วเมื่อมีข่าวว่าแม่ทัพเศรษฐกิจสั่งให้กระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์เร่งประเมินผลได้เสีย จะให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินยาวนานถึง 99 ปี เป็นมาตรการจูงใจ กระตุ้นการลงทุน ดูแล้วนักลงทุนอายุยืนขนาดนั้นคงเป็นพวกโคตรเหง้านักขายชาติเท่านั้น
เป็นมาตรการสิ้นคิด สิ้นปัญญา ไม่คำนึงถึงผลเสียระยะยาวต่อบ้านเมือง ประเทศจีนต้องรอคอยด้วยความขมขื่นนานถึง 99 ปี กว่าจะได้เกาะฮ่องกงคืนจากประเทศอังกฤษ
จู่ๆ ก็มีคนสิ้นคิดของไทยอยากให้ต่างชาติเช่าแผ่นดิน เพียงเพื่ออยากแสดงผลงานกระตุ้นการลงทุน อาศัยเงินจากต่างประเทศ ลืมแล้วหลักการนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงแบบยั่งยืน เอาเพียงแค่ไปโม้บนเวทีโลกให้ชาวต่างประเทศฟังดูโก้ เหม็นขี้ฟันเปล่าๆ
มาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ฟังดูแล้วโก้หรู มีระดับ ถ้าพิจารณาให้ดี จะมีทั้งการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ นโยบายลืมกำพืดของตัวเอง มรดกของแผ่นดิน อยากทำให้สิ่งที่เราไม่ถนัด เหมือนความพยายามเป็นเสือตัวที่ 5 เป็น NIC newly industrializing country
การไม่รู้จักตัวเอง ทำให้ทุกวันนี้ “เสือตัวที่ 5” อยู่ในสภาพ “แมวขี้โรค” ในอาเซียน ยังไร้วี่แววสัญญาณว่าอาการจะทุเลา เพราะตลอดปีที่ผ่านมาอยู่ในสภาพ “เงินฝืดเรื้อรัง” ธนาคารโลกประเมินว่าไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดเพียง 2 เปอร์เซ็นต์
สู้พม่า ลาว และกัมพูชาไม่ได้ แต่เรื่องคุยโม้ ข่มคนอื่น จมไม่ลง ไม่เป็นรองใคร! ความพยายาม “กระตุ้น” เศรษฐกิจแฝงเร้นการโกงกินคำโต อิ่มจนพุงกางแล้วไม่ยอมเลิก รังแต่จะนำบ้านเมืองสู่หายนะ จากนั้นผู้บริหารจัดการก็ไป ทิ้งซากไว้ให้ประชาชนฟื้นฟู
สุภาษิตฝรั่งบอกว่า “You cannot beat a dead horse” “อย่าเฆี่ยนม้าที่ตายแล้ว” เป็นความพยายามที่ไร้ผล หรือว่าตามแบบไทยๆ คือการปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง ทำอย่างไรก็ไม่มีวันฟื้นคืนชีพ มีลมหายใจต่อไป และควรพิจารณาว่าทำไมเศรษฐกิจถึงซบเซายาวนาน
ญี่ปุ่นที่ว่าแน่ มีมันสมองเลิศล้ำ เคยได้ชื่อว่าเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” เจอวิกฤต “2 ทศวรรษที่สูญหาย” ในทศวรรษ 1990 และ 2000 ยังเป็นซามูไรสนิมเกรอะ กระตุ้นใช้เงินทุ่มมหาศาลก็ยังไร้ทางออกหลังจากฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น
ถ้าเปรียบเทียบความพยายามของรัฐบาลคุณท่านเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการลงทุนภาคการค้า อุตสาหกรรม เทียบกับการสร้างรายได้ให้พ่อค้า แม่ค้า และภาคเกษตรแล้ว ได้เห็นความแตกต่างชัดเจน เพราะมีรายการใหญ่ๆ “อวยเศรษฐกิจระดับเจ้าสัว”
เมื่อประชาชนระดับรายได้น้อยถึงต่ำกว่าปานกลางสิ้นหนทางทำมาค้าขาย ภาคเกษตรเผชิญภัยแล้ง ผลผลิต ราคาตกต่ำ ทำให้ฐานรากเศรษฐกิจหดตัว อำนาจการซื้อถดถอย ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้ระวังมากกว่าเดิมในการจับจ่ายเมื่อเห็นอนาคตยังมัวซัว
การบริหารโดยนักเศรษฐศาสตร์ นักการตลาด โดยการกระตุ้น อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ส่งเสริมการลงทุนไม่ลืมหูลืมตา ไม่คำนึงถึงขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมนำไปสู่การเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่ใจต่อภาคเศรษฐกิจระดับล่าง ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
ลืมนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ เพราะกลุ่มอิทธิพลในระบบทุนนิยมสามานย์ไม่ได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ นักฉวยโอกาสในกลุ่มผู้มีอำนาจมองว่าไม่ได้อะไร ทำให้ภาคเกษตร เศรษฐกิจระดับชาวบ้านหาเช้ากินค่ำอยู่ในสภาพลำบาก หนี้สินพอกพูน
ทำไมต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการผลิต การค้า อุตสาหกรรม เมื่อผู้ประกอบการยังอยู่ในสภาพลืมตาอ้าปากได้ มีหนทางดิ้นรนเอาตัวรอด มีทุน มีทรัพยากร ขณะที่ภาคประชาชนด้อยโอกาสในการทำมาหากินไร้เรี่ยวแรง อ้าปากพะงาบๆ ใกล้สิ้นลมหายใจ
เงินกระตุ้นภาคการผลิต อุตสาหกรรม ด้วยมาตรการต่างๆ ก็มาจากเงินงบประมาณ ภาษีประชาชน ขณะที่ภาคด้อยโอกาสต้องฟังคำแก้ตัว ข้ออ้างสารพัด นั่นนี่โน่น โดยลืมไปว่าถ้าประชาชนทุกครัวเรือนมีข้าวปลาอาหารกินครบทุกมื้อ จะไม่จมอยู่ในห้วงทุกข์ทรมาน
การที่ผู้ประกอบการทุนใหญ่ทำมาค้าขายไม่ประสบความสำเร็จ จะโทษใครได้เมื่อการลงทุนมีความเสี่ยง เมื่อมีกำไร ก็มีขาลงเช่นเดียวกัน จะใช้เงินภาษีประชาชนไปโอบอุ้ม หรือการลงทุนในสาธารณูปโภคเพื่อเขตเศรษฐกิจพิเศษก็เหมือนปล้นเงินคนจนให้คนรวย
น่าสังเวชเมื่อประเทศไทยผลิตอาหาร ส่งออกข้าวถึง 10 ล้านตันต่อปี ยังมีประชาชนอดอยากหิวโหย หมดโอกาสแสวงหาอาชีพเพื่อการยังชีพ แต่มีคนต่างชาติกว่า 10 ล้านคนเข้ามาใช้ทรัพยากรแผ่นดินเพื่อชีวิตสมบูรณ์กว่าประเทศบ้านเกิด และจำนวนเพิ่มไม่หยุด
นโยบาย “ม้าอารี” กำลังทำให้คนไทยกลายสภาพเป็นพลเมืองชั้น 2 สิ้นที่ดินทำกิน ผืนดินกว่า 100 ล้านไร่ หรือ 1 ใน 3 อยู่ภายไต้กรรมสิทธิ์ถือครองของคนต่างชาติ และยังจะเพิ่มอีกด้วยนโยบาย “เออีซี” เปิดประเทศ โดยคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร
การกระตุ้นเศรษฐกิจภายไต้นโยบายประชารัฐ แฝงเร้นประชานิยมเพื่อช่วยเหลือระดับล่างก็ยังไม่พ้นการเปิดช่องทางให้พ่อค้า นักลงทุนในสภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละตำบลมีโอกาสฉกฉวยความมั่งคั่งจากงบประมาณรัฐกระจายลงสู่ระดับฐานราก
คนส่วนใหญ่ยังไม่เฉลียวใจ ฉุกคิด รับรู้ว่าผู้บริหารบ้านเมืองทุกยุคเป็นนักเขมือบกินคำโต ต่อให้แสดงตัวว่าเป็นคนมือสะอาดรักชาติอย่างไรก็ยังมีคนเห็นน้ำลายไหล พุงโย้ คุยโวว่าเป็นผู้เสียสละ เป็นนักบุญ แต่สภาพความจริงเป็นผีบุญเสือหิวกินไม่ยอมอิ่มนั่นเอง
ชาวนา เกษตรกร มักต้องรออยู่ปลายน้ำ ทนฟังการอ้างบุญคุณ ทั้งๆ ที่ผู้กุมอำนาจมีหน้าที่บำบัดทุกข์ให้ประชาชน ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาหาพระแสงด้ามยาวชำรุดเพื่ออะไร
แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ นักขายชาติ เสือหิว ผู้กล้ากำมะลอ มักจบไม่สวยเมื่อสิ้นอำนาจ ยิ่งมีนโยบายขายชาติ ขายแผ่นดินเป็นตัวนำด้วยแล้ว จุดจบน่าจะสยดสยองถ้าหนีไม่ทัน
โดย โสภณ องค์การณ์
เห็นความพยายามของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลในการกระตุ้น อัดฉีด ให้เศรษฐกิจบ้านเราให้ฟื้นตัวด้วยมาตรการต่างๆ สารพัด ทุ่มเทงบประมาณเป็นแสนๆ ล้านบาทในโครงการขนาดใหญ่ ส่งเสริมการลงทุนด้วยวิธีจูงใจด้านภาษีอากร อวยกันสุดๆ ก็อยากประเมินผลได้เสีย
ดูแล้วว่าถ้ามาตรการแรกๆ ไม่ได้เรื่อง ก็จะทุ่มกันต่อไปอีก เข้ารกเข้าพง สิ้นเปลืองเงินงบประมาณ เงินกู้ สร้างภาระหนี้สินพอกพูน เหมือนอยู่ในสภาวะเลือดเข้าตา น่ากลัวเหลือเกินว่าผลสุดท้ายจะนำพาสู่บ้านเมืองสู่หายนะระยะยาวเพราะมาตรการสิ้นคิดสิ้นท่า
เห็นแววแล้วเมื่อมีข่าวว่าแม่ทัพเศรษฐกิจสั่งให้กระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์เร่งประเมินผลได้เสีย จะให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินยาวนานถึง 99 ปี เป็นมาตรการจูงใจ กระตุ้นการลงทุน ดูแล้วนักลงทุนอายุยืนขนาดนั้นคงเป็นพวกโคตรเหง้านักขายชาติเท่านั้น
เป็นมาตรการสิ้นคิด สิ้นปัญญา ไม่คำนึงถึงผลเสียระยะยาวต่อบ้านเมือง ประเทศจีนต้องรอคอยด้วยความขมขื่นนานถึง 99 ปี กว่าจะได้เกาะฮ่องกงคืนจากประเทศอังกฤษ
จู่ๆ ก็มีคนสิ้นคิดของไทยอยากให้ต่างชาติเช่าแผ่นดิน เพียงเพื่ออยากแสดงผลงานกระตุ้นการลงทุน อาศัยเงินจากต่างประเทศ ลืมแล้วหลักการนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงแบบยั่งยืน เอาเพียงแค่ไปโม้บนเวทีโลกให้ชาวต่างประเทศฟังดูโก้ เหม็นขี้ฟันเปล่าๆ
มาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ฟังดูแล้วโก้หรู มีระดับ ถ้าพิจารณาให้ดี จะมีทั้งการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ นโยบายลืมกำพืดของตัวเอง มรดกของแผ่นดิน อยากทำให้สิ่งที่เราไม่ถนัด เหมือนความพยายามเป็นเสือตัวที่ 5 เป็น NIC newly industrializing country
การไม่รู้จักตัวเอง ทำให้ทุกวันนี้ “เสือตัวที่ 5” อยู่ในสภาพ “แมวขี้โรค” ในอาเซียน ยังไร้วี่แววสัญญาณว่าอาการจะทุเลา เพราะตลอดปีที่ผ่านมาอยู่ในสภาพ “เงินฝืดเรื้อรัง” ธนาคารโลกประเมินว่าไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดเพียง 2 เปอร์เซ็นต์
สู้พม่า ลาว และกัมพูชาไม่ได้ แต่เรื่องคุยโม้ ข่มคนอื่น จมไม่ลง ไม่เป็นรองใคร! ความพยายาม “กระตุ้น” เศรษฐกิจแฝงเร้นการโกงกินคำโต อิ่มจนพุงกางแล้วไม่ยอมเลิก รังแต่จะนำบ้านเมืองสู่หายนะ จากนั้นผู้บริหารจัดการก็ไป ทิ้งซากไว้ให้ประชาชนฟื้นฟู
สุภาษิตฝรั่งบอกว่า “You cannot beat a dead horse” “อย่าเฆี่ยนม้าที่ตายแล้ว” เป็นความพยายามที่ไร้ผล หรือว่าตามแบบไทยๆ คือการปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง ทำอย่างไรก็ไม่มีวันฟื้นคืนชีพ มีลมหายใจต่อไป และควรพิจารณาว่าทำไมเศรษฐกิจถึงซบเซายาวนาน
ญี่ปุ่นที่ว่าแน่ มีมันสมองเลิศล้ำ เคยได้ชื่อว่าเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” เจอวิกฤต “2 ทศวรรษที่สูญหาย” ในทศวรรษ 1990 และ 2000 ยังเป็นซามูไรสนิมเกรอะ กระตุ้นใช้เงินทุ่มมหาศาลก็ยังไร้ทางออกหลังจากฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น
ถ้าเปรียบเทียบความพยายามของรัฐบาลคุณท่านเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการลงทุนภาคการค้า อุตสาหกรรม เทียบกับการสร้างรายได้ให้พ่อค้า แม่ค้า และภาคเกษตรแล้ว ได้เห็นความแตกต่างชัดเจน เพราะมีรายการใหญ่ๆ “อวยเศรษฐกิจระดับเจ้าสัว”
เมื่อประชาชนระดับรายได้น้อยถึงต่ำกว่าปานกลางสิ้นหนทางทำมาค้าขาย ภาคเกษตรเผชิญภัยแล้ง ผลผลิต ราคาตกต่ำ ทำให้ฐานรากเศรษฐกิจหดตัว อำนาจการซื้อถดถอย ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้ระวังมากกว่าเดิมในการจับจ่ายเมื่อเห็นอนาคตยังมัวซัว
การบริหารโดยนักเศรษฐศาสตร์ นักการตลาด โดยการกระตุ้น อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ส่งเสริมการลงทุนไม่ลืมหูลืมตา ไม่คำนึงถึงขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมนำไปสู่การเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่ใจต่อภาคเศรษฐกิจระดับล่าง ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
ลืมนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ เพราะกลุ่มอิทธิพลในระบบทุนนิยมสามานย์ไม่ได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ นักฉวยโอกาสในกลุ่มผู้มีอำนาจมองว่าไม่ได้อะไร ทำให้ภาคเกษตร เศรษฐกิจระดับชาวบ้านหาเช้ากินค่ำอยู่ในสภาพลำบาก หนี้สินพอกพูน
ทำไมต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการผลิต การค้า อุตสาหกรรม เมื่อผู้ประกอบการยังอยู่ในสภาพลืมตาอ้าปากได้ มีหนทางดิ้นรนเอาตัวรอด มีทุน มีทรัพยากร ขณะที่ภาคประชาชนด้อยโอกาสในการทำมาหากินไร้เรี่ยวแรง อ้าปากพะงาบๆ ใกล้สิ้นลมหายใจ
เงินกระตุ้นภาคการผลิต อุตสาหกรรม ด้วยมาตรการต่างๆ ก็มาจากเงินงบประมาณ ภาษีประชาชน ขณะที่ภาคด้อยโอกาสต้องฟังคำแก้ตัว ข้ออ้างสารพัด นั่นนี่โน่น โดยลืมไปว่าถ้าประชาชนทุกครัวเรือนมีข้าวปลาอาหารกินครบทุกมื้อ จะไม่จมอยู่ในห้วงทุกข์ทรมาน
การที่ผู้ประกอบการทุนใหญ่ทำมาค้าขายไม่ประสบความสำเร็จ จะโทษใครได้เมื่อการลงทุนมีความเสี่ยง เมื่อมีกำไร ก็มีขาลงเช่นเดียวกัน จะใช้เงินภาษีประชาชนไปโอบอุ้ม หรือการลงทุนในสาธารณูปโภคเพื่อเขตเศรษฐกิจพิเศษก็เหมือนปล้นเงินคนจนให้คนรวย
น่าสังเวชเมื่อประเทศไทยผลิตอาหาร ส่งออกข้าวถึง 10 ล้านตันต่อปี ยังมีประชาชนอดอยากหิวโหย หมดโอกาสแสวงหาอาชีพเพื่อการยังชีพ แต่มีคนต่างชาติกว่า 10 ล้านคนเข้ามาใช้ทรัพยากรแผ่นดินเพื่อชีวิตสมบูรณ์กว่าประเทศบ้านเกิด และจำนวนเพิ่มไม่หยุด
นโยบาย “ม้าอารี” กำลังทำให้คนไทยกลายสภาพเป็นพลเมืองชั้น 2 สิ้นที่ดินทำกิน ผืนดินกว่า 100 ล้านไร่ หรือ 1 ใน 3 อยู่ภายไต้กรรมสิทธิ์ถือครองของคนต่างชาติ และยังจะเพิ่มอีกด้วยนโยบาย “เออีซี” เปิดประเทศ โดยคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร
การกระตุ้นเศรษฐกิจภายไต้นโยบายประชารัฐ แฝงเร้นประชานิยมเพื่อช่วยเหลือระดับล่างก็ยังไม่พ้นการเปิดช่องทางให้พ่อค้า นักลงทุนในสภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละตำบลมีโอกาสฉกฉวยความมั่งคั่งจากงบประมาณรัฐกระจายลงสู่ระดับฐานราก
คนส่วนใหญ่ยังไม่เฉลียวใจ ฉุกคิด รับรู้ว่าผู้บริหารบ้านเมืองทุกยุคเป็นนักเขมือบกินคำโต ต่อให้แสดงตัวว่าเป็นคนมือสะอาดรักชาติอย่างไรก็ยังมีคนเห็นน้ำลายไหล พุงโย้ คุยโวว่าเป็นผู้เสียสละ เป็นนักบุญ แต่สภาพความจริงเป็นผีบุญเสือหิวกินไม่ยอมอิ่มนั่นเอง
ชาวนา เกษตรกร มักต้องรออยู่ปลายน้ำ ทนฟังการอ้างบุญคุณ ทั้งๆ ที่ผู้กุมอำนาจมีหน้าที่บำบัดทุกข์ให้ประชาชน ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาหาพระแสงด้ามยาวชำรุดเพื่ออะไร
แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ นักขายชาติ เสือหิว ผู้กล้ากำมะลอ มักจบไม่สวยเมื่อสิ้นอำนาจ ยิ่งมีนโยบายขายชาติ ขายแผ่นดินเป็นตัวนำด้วยแล้ว จุดจบน่าจะสยดสยองถ้าหนีไม่ทัน