00 เป็นอีกหนึ่งปมร้อนๆ กับการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ถึงขนาด“นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกปากว่าต้องดูสถานการณ์ หากยังขัดแย้งอยู่ ก็ต้องทำให้คลี่คลายเสียก่อน ขณะเดียวกันกลับมีข่าวรั่วว่า“กรรมการมหาเถรสมาคม”นัด “ประชุมลับ”และมีมติเอกฉันท์ให้เสนอชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในขณะนี้ ต่อนายกฯ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็น "สังฆราชองค์ใหม่" แล้ว แต่ฟากฝั่งรัฐบาลต่างก็ปฏิเสธโดยพร้อม เพรียงกันว่า ไม่รู้เรื่อง !!
00 พูดกันตามเนื้อผ้าต้องบอกว่า“สมเด็จช่วง”เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี 2505 แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อปี 2535 แถมไม่ขัด“เงื่อนไขเดียว”ที่ระบุไว้ในกฎหมายคือ“การปฏิบัติหน้าที่ได้”เพราะวันนี้ “สมเด็จช่วง”ยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง ผิดกับพระราชาคณะรูปอื่นๆ ที่มักมีปัญหาเรื่องสุขภาพอีกต่างหาก ถ้าพูดถึงเรื่อง“ศักดิ์”และ“สิทธิ์”ก็คงต้องบอกว่า “สมเด็จช่วง”เหมาะสมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ทุกตัวอักษร เรื่องนี้ วิษณุ เครืองาม กระบี่มือหนึ่งด้านกฎหมายของรัฐบาล บอกเอาไว้
00 เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดถึงมีข่าวว่า“มหาเถรฯ”ถึงกับต้องทำลับๆ ล่อๆ เพื่อเสนอชื่อ“สมเด็จช่วง” ทั้งที่ตำแหน่ง“สูงศักดิ์” เช่นนี้ ควรมีกระบวนการคัดเลือกที่“เปิดเผย–สง่างาม” ซึ่งหาก“ข่าวลือ”เรื่องประชุมลับเป็นจริง ก็ยิ่งตอกย้ำความไม่ชอบมาพากลของ“วงการสงฆ์ไทย” ขณะที่กระแสต่อต้าน-คัดค้านนั้น มองข้ามตัวบทกฎหมาย มุ่งไปที่เรื่องของ“ปูมหลัง - จริยวัตร”เป็นสำคัญ รวมไปถึง“ข้อครหา”ต่างๆ ที่มีต่อ“สมเด็จช่วง”โดยเฉพาะความเกี่ยวพันกับ “วัดพระธรรมกาย”ที่หลายคนมองว่าเป็นลัทธินอกรีต
00 ย้ำอีกครั้งว่า การเลือก“ประมุขแห่งสงฆ์”ต้องทำอย่าง สง่างาม เทียบเคียงให้เห็นภาพ คงต้องยกให้พิธีคัดเลือก“สมเด็จพระสันตะปาปา” ของคริสต์ศาสนา เป็นแบบอย่างที่ดี ที่แม้จะเป็นการประชุมลับของคณะพระคาร์ดินัล ที่ทำการลงคะแนนกันในห้องปิดผนึก แต่ก็ได้รับการยอมรับ เนื่องจากให้สิทธิ์พระคาร์ดินัลจากทั่วโลกมากกว่าร้อยชีวิต เป็นผู้คัดเลือก “พระคาร์นิดัลที่เหมาะสม”ให้รับตำแหน่ง“ประมุขแห่งวาติกัน”หากแต่“กฎหมายไทย”กลับใช้วิธีการ“ล็อกสเปก”สมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุด โดยกันเรื่องพฤติกรรม-ความเหมาะสม ไว้นอกบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งก็มาจากการแก้ไข“กฎหมายสงฆ์”เมื่อปี 2535 นั่นเอง
00 หนทาง“ผ่าทางตัน”เพื่อหลีกเลี่ยง“สุญญากาศ”ของวงการสงฆ์ไทย ก็น่าจะเป็น“ดุลยพินิจ”ของ“ว่าที่ประมุขแห่งสงฆ์”ที่จะตัดสินใจทางใดทางหนึ่งกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น มากกว่ารอให้กระบวนการนำไปสู่“ทางตัน” หรือปล่อยให้“ม็อบผ้าเหลืองว่อนกรุง”อย่างที่“ชายในผ้าเหลือง”บางคนออกมาขู่ เพราะนั่นคือ“จุดเสื่อม”ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และนำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติ
00 ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ“บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสนช. ที่ออกมา“จุดพลุ”เสนอตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกระทำกิจการศึกษาแนวทางการเสริมสร้างสังคมสันติสุข ที่โฆษณาไว้ว่า จะดึงทุกกลุ่มทุกฝ่ายเข้ามาร่วมใน กมธ. 24 ชีวิต แต่ชื่อที่หลุดออกมามี“คู่ขัดแย้ง”แค่ “ตี๋ตาล”สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. กับ“แรมโบ้อีสาน”สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำนปช.เท่านั้นที่ “เซย์เยส” รับร่วมวงด้วย ส่วนที่เหลือก็แค่ “ไม้ประดับ”แต่กลับเคลมว่า มีตัวแทนจากทุกสี-ทุกกลุ่ม คิดอะไรตื้นๆ แบบนี้ มิน่า“บิ๊กตู่”ถึงเบรกหัวทิ่ม.
00 พูดกันตามเนื้อผ้าต้องบอกว่า“สมเด็จช่วง”เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี 2505 แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อปี 2535 แถมไม่ขัด“เงื่อนไขเดียว”ที่ระบุไว้ในกฎหมายคือ“การปฏิบัติหน้าที่ได้”เพราะวันนี้ “สมเด็จช่วง”ยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง ผิดกับพระราชาคณะรูปอื่นๆ ที่มักมีปัญหาเรื่องสุขภาพอีกต่างหาก ถ้าพูดถึงเรื่อง“ศักดิ์”และ“สิทธิ์”ก็คงต้องบอกว่า “สมเด็จช่วง”เหมาะสมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ทุกตัวอักษร เรื่องนี้ วิษณุ เครืองาม กระบี่มือหนึ่งด้านกฎหมายของรัฐบาล บอกเอาไว้
00 เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดถึงมีข่าวว่า“มหาเถรฯ”ถึงกับต้องทำลับๆ ล่อๆ เพื่อเสนอชื่อ“สมเด็จช่วง” ทั้งที่ตำแหน่ง“สูงศักดิ์” เช่นนี้ ควรมีกระบวนการคัดเลือกที่“เปิดเผย–สง่างาม” ซึ่งหาก“ข่าวลือ”เรื่องประชุมลับเป็นจริง ก็ยิ่งตอกย้ำความไม่ชอบมาพากลของ“วงการสงฆ์ไทย” ขณะที่กระแสต่อต้าน-คัดค้านนั้น มองข้ามตัวบทกฎหมาย มุ่งไปที่เรื่องของ“ปูมหลัง - จริยวัตร”เป็นสำคัญ รวมไปถึง“ข้อครหา”ต่างๆ ที่มีต่อ“สมเด็จช่วง”โดยเฉพาะความเกี่ยวพันกับ “วัดพระธรรมกาย”ที่หลายคนมองว่าเป็นลัทธินอกรีต
00 ย้ำอีกครั้งว่า การเลือก“ประมุขแห่งสงฆ์”ต้องทำอย่าง สง่างาม เทียบเคียงให้เห็นภาพ คงต้องยกให้พิธีคัดเลือก“สมเด็จพระสันตะปาปา” ของคริสต์ศาสนา เป็นแบบอย่างที่ดี ที่แม้จะเป็นการประชุมลับของคณะพระคาร์ดินัล ที่ทำการลงคะแนนกันในห้องปิดผนึก แต่ก็ได้รับการยอมรับ เนื่องจากให้สิทธิ์พระคาร์ดินัลจากทั่วโลกมากกว่าร้อยชีวิต เป็นผู้คัดเลือก “พระคาร์นิดัลที่เหมาะสม”ให้รับตำแหน่ง“ประมุขแห่งวาติกัน”หากแต่“กฎหมายไทย”กลับใช้วิธีการ“ล็อกสเปก”สมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุด โดยกันเรื่องพฤติกรรม-ความเหมาะสม ไว้นอกบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งก็มาจากการแก้ไข“กฎหมายสงฆ์”เมื่อปี 2535 นั่นเอง
00 หนทาง“ผ่าทางตัน”เพื่อหลีกเลี่ยง“สุญญากาศ”ของวงการสงฆ์ไทย ก็น่าจะเป็น“ดุลยพินิจ”ของ“ว่าที่ประมุขแห่งสงฆ์”ที่จะตัดสินใจทางใดทางหนึ่งกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น มากกว่ารอให้กระบวนการนำไปสู่“ทางตัน” หรือปล่อยให้“ม็อบผ้าเหลืองว่อนกรุง”อย่างที่“ชายในผ้าเหลือง”บางคนออกมาขู่ เพราะนั่นคือ“จุดเสื่อม”ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และนำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติ
00 ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ“บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสนช. ที่ออกมา“จุดพลุ”เสนอตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกระทำกิจการศึกษาแนวทางการเสริมสร้างสังคมสันติสุข ที่โฆษณาไว้ว่า จะดึงทุกกลุ่มทุกฝ่ายเข้ามาร่วมใน กมธ. 24 ชีวิต แต่ชื่อที่หลุดออกมามี“คู่ขัดแย้ง”แค่ “ตี๋ตาล”สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. กับ“แรมโบ้อีสาน”สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำนปช.เท่านั้นที่ “เซย์เยส” รับร่วมวงด้วย ส่วนที่เหลือก็แค่ “ไม้ประดับ”แต่กลับเคลมว่า มีตัวแทนจากทุกสี-ทุกกลุ่ม คิดอะไรตื้นๆ แบบนี้ มิน่า“บิ๊กตู่”ถึงเบรกหัวทิ่ม.