xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

บทสรุป “ราชภักดิ์” “โด่ง” ยังปึ้ก “ป้อม-ตู่” กระสุนด้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังสร้าง “ความเครียด” ให้กับทุกผู้ทุกนามที่เกี่ยวข้องมาเป็นเวลาแรมเดือน ในที่สุดวันนี้ การตรวจสอบการทุจริต “โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์” ก็เป็นที่ยุติเรียบร้อยแล้วจาก 1 สัญญาณธรรมดาและอีก 2 สัญญาณพิเศษ

งานนี้ ต้องบอกว่า คนที่ยิ้มปากกว้างมากเป็นพิเศษก็เห็นจะหนีไม่พ้น“บิ๊ก โด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ เพราะแสดงให้เห็นว่า “นายพลแก้มบุ๋มคนนี้ไม่ธรรมดา”

ส่วนคนที่อาจจะโล่งใจตามๆ กันไปเพราะคิดค้นหาวิธีอยู่ตั้งนานสองนานก็คงมี 2 คนด้วยกันคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

เพราะหากยังจำกันได้ทั้งสองคนถึงขนาดเอ่ยปากไปในท่วงทำนองที่สังคมมิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า ต้องการให้ พล.อ.อุดมเดชลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อมิให้เรื่องราวลุกลามจนกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาลและ คสช.

แต่สุดท้ายปฏิบัติการเขี่ย พล.อ.อุดมเดชออกไปก็ไม่ประสบความสำเร็จ หรืออาจใช้คำว่า “กระสุนด้าน” ก็คงไม่ผิดเพี้ยนเท่าใดนัก เห็นแล้วก็อดคิดถึงคำพูดของ พล.อ.อุดมเดชที่เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งที่ถูกแรงกดดันให้ลาออกไม่ได้ว่า “ขณะนี้อาจจะมีคนบางคน บางกลุ่ม นั่งอมยิ้มอยู่ก็ได้ว่า สิ่งที่เขาได้พยายามกระทำนั้น เหมือนกับยิงนกได้หลายตัว”

สัญญาณแรกที่ออกมาคือผลสอบที่ พล.อ.ประวิตรสั่งให้กระทรวงกลาโหมตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งได้มีการแถลงข่าวออกมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 โดยสรุปรวมความได้ว่า ไม่พบการทุจริตเกิดขึ้น และการดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส

“คณะกรรมการตรวจสอบฯ เห็นว่า การใช้งบกลางและงบประมาณของกองทัพบกในการก่อสร้างและปรับปรุงพื้นที่ ร.ร.นายสิบทหารบก หน่วยงานที่เก่ยวข้องได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และระเบียบคำสั่งของกองทัพบกที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบบริจาคในบัญชีชื่อกองทุนสวัสดิการอุทยานราชภักดิ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการสวัสดิการกองทัพบกว่าด้วยอุทยานราชภักดิ์ พ.ศ.2558 และระเบียบการบริหารอุทยานราชภักดิ์ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ.2558 และจากการพิจารณาตรวจสอบพิจารณาได้ การใช้จ่ายงบประมาณเป็นการดำเนินการตามระเบียบที่ได้กล่าวเอาไว้

“ขณะที่เรื่องเงินค่าหัวคิวโรงหล่อ การตรวจสอบมีอุปสรรคไม่สามารถติดตามบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนมาสอบปากคำได้เนื่องจากหนีไปต่างประเทศ และประเด็นนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ส่วนประเด็นเรื่องราชภักดิ์ไบค์แอนคอนเสิร์ตแทนคุณแผ่นกิน กับกิจกรรมปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน กิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินการตามแผนงาน มีการเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายชัดเจน ไม่มีข้อสังเกตใดๆ” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงสรุป

แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว สัญญาณแรกมิได้มีความสำคัญสักกี่มากน้อยหากเทียบสัญญาณพิเศษที่ออกมาหลังจากนั้นไม่นานนัก 2 สัญญาณด้วยกัน

สัญญาณพิเศษสัญญาณแรกเกิดขึ้นในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์นำคณะรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพและตำรวจเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเพื่อขอรับพรและอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่กระทรวงกลาโหมแถลงผลสอบเรื่องดังกล่าวออกมาในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน

โดยในระหว่างที่ พล.อ.เปรมเดินทักทายผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.อ.เปรมได้เดินเข้ามาทักทาย พล.อ.อุดมเดชพร้อมพูดว่า “เชื่อว่าความดีจะทำให้โด่งประสบผลดี เราเชื่อว่าโด่งไม่ใช่คนแบบนั้น เชื่อว่าโด่งเป็นคนดี”

ทั้งนี้ หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวที่ยืนยันตรงกันว่า การที่ พล.อ.อุดมเดชตัดสินใจไม่ลาออกตามแรงกดดันของ “พี่ป้อมและพี่ตู่” ก็เพราะได้เข้าพบ พล.อ.เปรมเพื่อรายงานข้อเท็จจริงให้เป็นที่รับทราบ และ พล.อ.เปรมก็ได้บอกให้ พล.อ.อุดมเดชอยู่ในตำแหน่งต่อไป

จากนั้นถัดมาอีกไม่กี่วันคือในวันที่ 4 มกราคม 2559 สัญญาณพิเศษสัญญาณที่สองก็เกิดขึ้น เมื่อนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 126 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ออกประกาศเรื่องจดทะเบียนข้อบังคับมูลนิธิราชภักดิ์ว่า มูลนิธินี้ชื่อว่า “มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ย่อว่า “ร.ภ.” เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Rajabhakti Pak Foundation Under the Royal Patronage of His Royal Highness Crown Prince Maha Vajiralongkorn

นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิใหม่ ดังนี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะกรรมการเช่นเดิม ส่วนกรรมการชุดเดิมประกอบด้วย พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบก พล.ท.สุทัศน์ จารุมณี ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ขณะรายชื่อกรรมการที่เพิ่มมาใหม่ประกอบด้วย พล.อ.ศุภวุฒิ อุตมะ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้อำนวยการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ นายไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม น.ส.มรกต ณ เชียงใหม่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาโนราม่า เวิลด์ไวด์ จำกัด น.ส.ณสรัญ มหิทธชาติกุล นายชยุต ภวภานันท์กุล อาจารย์ประจำหลักสูตรบริหารดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ขณะที่ พล.อ.ประสูตร รัศมีแพทย์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นกรรมการและเหรัญญิก พล.อ.พอพล มณีรินทร์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม กรรมการและเลขานุการ พ.อ.สมชาย กุลภควา กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีรายชื่อในกรรมการชุดใหม่ ประกอบด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.ต.ชูชาติ สุกใส เจ้ากรมการเงินทหารบก และ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ ซึ่งปัจจุบันหลบหนีตามหมายศาลทหาร

ก็เป็นอันว่าชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องอธิบายขยายความอันใดอีกต่อไป

เพียงแต่งานนี้ คนที่เสียรังวัดไปค่อนข้างมากเห็นทีจะหนีไม่พ้น “2 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์วงใน” ที่ไม่มั่นใจและศรัทธาในตัวของ พล.อ.อุดมเดชอย่างเพียงพอ กระทั่งเอ่ยปากเรื่องวิจารณญาณในการตัดสินใจลาออกของ พล.อ.อุดมเดชออกมาจนสังคมจับสัญญาณได้

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2558

พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า...

“ผมมองว่า พล.อ.อุดมเดชมีวุฒิภาวะมาก เป็นถึงอดีต ผบ.ทบ.ท่านคงคิดของท่านอยู่ว่า ควรจะทำอย่างไร ผมคงไม่ต้องไปบอกท่านว่า ต้องคิดแบบนี้ หรือแบบนั้น เพราะไม่ใช่เด็ก ส่วนลาออกแล้วจะมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร ผมยังไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ที่ผ่านมายังไม่ได้คุยกับ พล.อ.อุดมเดชในเรื่องดังกล่าว เพราะคุยเรื่องงานกันมากกว่า”

ตามต่อด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ซึ่งให้สัมภาษณ์ทันทีที่เดินทางกลับจากฝรั่งเศสถึงประเทศไทยในวันที่ 2 ธันวาคม 2558 ในท่วงทำนองเดียวกัน

คำถามก็คือความสัมพันธ์ของเหล่าพี่น้องดังที่เอ่ยชื่อมาข้างต้นจะยังเหมือนเดิมหรือไม่

รวมกระทั่งถึง 2 นายทหารคนสำคัญที่ต้องเรียกว่า อยู่ในวงของความขัดแย้งกับ พล.อ.อุดมเดชในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน นั่นก็คือ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรม ซึ่งรั้งตำแหน่งประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ “ศอตช.”

กล่าวสำหรับ พล.อ.ธีรชัยนั้น แม้ผลสอบของกองทัพบกภายใต้การนำของบิ๊กหมูจะออกมาว่า ไม่พบการทุจริต แต่ก็โยนระเบิดลูกใหญ่เรื่องเงินค่าหัวคิวโรงหล่อให้ พล.อ.อุดมเดช เป็นผู้ตอบคำถาม และมิได้มีคำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการจัดสร้างแต่อย่างใด ซึ่งกรณีนี้เห็นได้ชัดว่า พล.อ.อุดมเดชไม่พอใจ ดังที่ได้ปรารภเอาไว้ชัดเจนว่า “เสียดายที่การชี้แจงรายรับ-จ่าย ของกองทัพบกครั้งที่แล้ว น่าจะนำรายละเอียดเกี่ยวกับรายรับ-จ่ายมาชี้แจงด้วย”

คำถามก็คือความสัมพันธ์ของ พล.อ.อุดมเดชที่เดิมไม่ลงรอยกับ พล.อ.ธีรชัยอยู่แล้วจะพัฒนาไปในทิศทางใด

ขณะที่กับ พล.อ.ไพบูลย์ก็กลายเป็นความขัดแย้งหลังการให้สัมภาษณ์ออกมาว่า “ผมบอกวันนี้เลยว่า ต้องเจอคนผิด การตรวจสอบไม่มีเบี่ยงเบน เพราะผู้เกี่ยวข้องยอมรับเอง หากสตง.ไปตรวจสอบแล้วออกมาบอกว่าไม่มีทุจริต ท่านจะเชื่อหรือไม่ ประชาชนจะเชื่อหรือไม่ หากบอกว่าไม่มีทุจริตบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร ให้บอกประชาชนไปเลยว่ามีการทุจริต แต่จะเป็นใครและเกิดขึ้นในช่วงไหน ขอให้รอการตรวจสอบให้ชัดเจนส่วนเรื่องบัญชีบริจาคของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ที่ระบุว่าต้องมีการรับรองงบดุล แต่ขณะนี้ยังมีเงินไหลเข้ามาเรื่อยๆเพราะยังไม่ได้ปิดบัญชีจึงขอให้สตง.ขีดเส้นเพื่อปิดบัญชี เพื่อเริ่มการตรวจสอบ”

ในครั้งนั้น พล.อ.อุดมเดชอัด พล.อ.ไพบูลย์อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมว่า “ต้องถามว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วมีคนสองคนเดินมาหา นำซองเอกสารสีน้ำตาลบางๆมาให้ คุยกันอยู่สักพักเสร็จแล้วมาบอกว่าทุจริตแน่นอน มีที่ไหนทำกัน จริงๆแล้วทำแบบนี้ผิด เป็นการชี้นำ เพราะกรรมการที่ตรวจสอบต้องหาคนผิดให้ได้ ต้องเป็นลักษณะที่ว่าเอาข้อมูลมาแล้วไปให้กับ สตง. ป.ป.ช. ไปไล่ดูแต่ละจุดว่ามีความผิดต่างๆ อย่างไร ไม่ใช่ออกมาพูดแบบนี้ อย่างนี้แสดงว่าอย่างไร เป็นนายพรานออกมาจากพุ่มไม้หรืออย่างไร เป็นนายพรานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่พลาดพลั้งที่พูดไป ถามว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีวุฒิภาวะในตัวเองทุกคน จะต้องมีสติ ไม่ใช่มีธงในใจ พอนักข่าวถามก็ตั้งใจว่าเดี๋ยววันนี้จะฟันแน่ การเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ใช่มีเอกสารอยู่แค่นั้นแล้วจะมาบอกว่าผิดแน่นอน ต้องให้กรรมการเข้าไปตรวจสอบดูบัญชี”

คำถามก็คือความสัมพันธ์ของ พล.อ.อุดมเดชกับ พล.อ.ไพบูลย์จะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน

ทั้งนี้ ภายหลังกระทรวงกลาโหมแถลงตรวจสอบผลสอบไม่พบความผิดปกติการใช้งบประมาณโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์และการเปลี่ยนชื่อมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ฯ พล.อ.อุดมเดชได้ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมีนัยสำคัญว่า “ได้ฟังหัวหน้าส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ บางหน่วยงานอยากทำความเข้าใจว่า ให้ท่านรู้รายละเอียดให้ถ่องแท้ ไปดูให้ดีเสียก่อน เช่น เรื่องโรงหล่อ ตรงนั้นเป็นเรื่องของเอกชน ก็ขอให้ไปตรวจสอบว่าเอกชนกับเอกชนเป็นอย่างไร ทำไมคณะกรรมการอุทยานราชภักดิ์จึงบอกว่า มันไม่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการ และกำลังพลของกองทัพบกในปีที่มีการก่อสร้าง แต่ท่านมักจะใช้คำว่าผู้สื่อข่าวรายงานว่า”

“มันเป็นเรื่องของเอกชนกับเอกชนดำเนินการ เมื่อทราบภายหลังก็ได้พยายามพูดคุย จนสิ่งที่ดีๆ กลับมาเกิดในช่วงสุดท้าย นั่นหมายความว่า เราได้แก้ปัญหาแล้ว เป็นเรื่องของบุญกุศล จะเสียเงินเสียหายเพิ่มเติมอะไรเราก็ได้แก้ไข แล้วจะมาบอกว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 อะไร ผมดูแล้วก็ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดเป็นเรื่องเอกชน ซึ่งผู้ใหญ่ในส่วนต่างๆ ก็เข้าใจ ดังนั้นอย่าเพิ่งเอ่ยหรือออกมาพูดล่วงหน้าว่ามีความไม่ถูกต้อง หรือมีทุจริตแน่นอน แบบนี้มันไม่ถูกต้อง เพราะจะเกิดความไม่ยุติธรรม และถ้าท่านเป็นหน่วยตรวจสอบ ถ้ามันไม่ยุติธรรม ก็ต้องรับผิดชอบ การตรวจสอบของท่านต้องเป็นไปตามปกติ”

“เมื่อเรื่องราวมันไม่มีอะไร ก็อย่าให้มันมีอะไร อย่าไปหลงประเด็น ถ้าหัวหน้าชุดสอบ ผู้ใหญ่ของหน่วยงานต้องการทราบอะไร หรืออยากจะพบผมหรือมาคุยกันก็สามารถชี้แจงได้หมด ในฐานะที่เป็นประธานอำนวยการ รวมถึงกลุ่มอำนวยการที่มีรองประธานต่างๆ กำกับดูแล สามารถชี้แจงได้ ไปที่กองทัพบกได้เพราะผมนั่งทำงานที่นั่น รวมถึงการดำเนินงานของมูลนิธิราชภักดิ์ที่ได้อนุมัติจัดตั้งเมื่อปลายปีงบประมาณกลางเดือน ก.ย. 2558 ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย แต่หัวหน้าชุดสอบจะเอารายละเอียดงบประมาณ เงินบริจาคมารับข้อมูลได้ที่ผม ผมขอเรียนว่าอย่าเพิ่งไปชี้หรือฟันธงว่าทุจริต เพราะผมมั่นใจโครงการนี้ที่ได้ปฏิบัติการมา ดังนั้น ขอให้ตรวจสอบด้วยความยุติธรรม ผลที่ออกมาจะได้เป็นธรรมแก่ผู้ที่ทำงานกับผู้ที่ปฏิบัติงานที่ตั้งใจทำงาน อย่าทำให้เสียกำลังใจ ต้องพยายามดู”

คำว่าหัวหน้าส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบจะหมายถึงใคร หมายถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) หรือผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่เข้ามารับไม้ต่อ หรือจะหมายถึง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรม ซึ่งรั้งตำแหน่งประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ “ศอตช.”

แต่ที่แน่ๆ งานนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า พล.อ.อุดมเดชประกาศเดินหน้าท้าชนทุกหน่วยงานตรวจสอบอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

เห็นอย่างนี้แล้ว บอกได้คำเดียวว่า “บิ๊กโด่ง.....นายแน่มาก” และแน่ชนิดที่ “พี่ป้อมกับพี่ตู่” อาจรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ก็เป็นได้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา


กำลังโหลดความคิดเห็น