นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงมาตรการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า ในภาวะที่ศก.โลก ยังซบเซา ไทยในฐานะที่ต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจของชาติอื่น ควรยอมรับความจริง แล้วใช้นโยบายรัดเข็มขัด ลดรายจ่าย มากกว่าพยายามเพิ่มรายได้ ที่ไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มได้ โดยเฉพาะภายหลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอดิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เข้ามาเป็นทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ของรัฐบาล ก็มักจะมีมาตรการในลักษณะขายผ้าเอาหน้ารอด อย่างการหักลดหย่อนภาษี ค่าซื้อสินค้า และบริการเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก็อ้างว่ากระตุ้นศก. แต่ในความเป็นจริง กลับเป็นการอุปโลกน์ตัวเลขให้เหมือนมีการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ขณะที่รัฐจะเสียประโยชน์มากถึง 4-5 พันล้านบาท ส่วนผู้ได้รับประโยชน์ เป็นบรรดาห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มากกว่าประชาชนส่วนใหญ่
นอกจากนี้ การมุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีออกมาเป็นระยะๆ ทั้งการปล่อยสินเชื่อรายได้ต่ำ หรือการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งล่าสุด ที่ได้ออกพ.ร.ก. ยกเว้น และสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.2558 ที่มีเนื้อหานิรโทษกรรมบริษัทที่หลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ส่วนข้ออ้างที่ว่าต้องการให้เอสเอ็มอี ขับเคลื่อนศก.นั้น ถามว่า มีเอสเอ็มอีรายไหนบ้างที่เพิ่มอัตราการจ้างงาน หรือยอดส่งออกที่ดีขึ้น หลังจากร่วมโครงการของรัฐ เพราะโดยส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดทุนเรื่องไม่สามารถจำหน่าย หรือส่งออกสินค้าได้ เนื่องจากศก.โลก ยังไม่ดี
"มาตรการที่เกี่ยวกับเอสเอ็มอีเกือบทั้งหมดทำให้รัฐสูญเสียรายได้ และก็ยังดึงเงินของรัฐในอนาคตเพื่อไปแบกภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเอกชนอีกด้วย ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์ ก็เป็นบรรดาธนาคารต่างๆ สะท้อนว่า เป็นแนวคิดของนายแบงก์ มากกว่ารัฐมนตรีที่ห่วงใยประชาชนอย่างแท้จริง" นายอุเทนกล่าว
นายอุเทน กล่าวต่อว่า มาตรการของทีมศก.รัฐบาล โดยนายสมคิด และ นายอดิศักดิ์ ส่วนใหญ่ก็เป็นแนวคิดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2548 ซึ่งเศรษฐกิจโลกตอนนั้นดี ผลิตอะไรไปก็ขายได้ ต่างจากในตอนนี้ ที่ผู้ซื้อไม่มีกำลังซื้อ แล้วจะเพิ่มการผลิตเพื่ออะไร ดังนั้นมาตรการเดิมๆในยุคนั้น แต่นำมาใช้ในห้วงเวลาที่ต่างกันย่อมไม่มีทา งพลิกฟื้นประเทศในตอนนี้ได้ ทางที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาคือ การอดออม รัดเข็มขัด โดยเฉพาะภาครัฐเอง ที่ต้องคำนึงถึงผลที่จะได้ในการลงทุน หรือนำงบประมาณไปใช้ หากไม่คุ้มค่าก็ควรที่อดออม เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ภาวะศก.โลกโดยรวม ยังไม่ดี
"นายกฯประยุทธ์ กำลังถูกคุณสมคิด หลอกอยู่ เหล้าเก่าในขวดเก่า แถมยังเป็นเหล้าปลอมอีกด้วย โดยการนำมาตรการเก่าๆ ที่คิดแค่เพียงการกระตุ้น โดย ลด แลก แจก แถม รัฐต้องไปอุ้มบรรดาธุรกิจเอกชน โดยนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน ซึ่งไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาในตอนนี้ แต่จะพาประเทศไปที่ปากเหวมากกว่า" นายอุเทน กล่าว
นอกจากนี้ การมุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีออกมาเป็นระยะๆ ทั้งการปล่อยสินเชื่อรายได้ต่ำ หรือการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งล่าสุด ที่ได้ออกพ.ร.ก. ยกเว้น และสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.2558 ที่มีเนื้อหานิรโทษกรรมบริษัทที่หลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ส่วนข้ออ้างที่ว่าต้องการให้เอสเอ็มอี ขับเคลื่อนศก.นั้น ถามว่า มีเอสเอ็มอีรายไหนบ้างที่เพิ่มอัตราการจ้างงาน หรือยอดส่งออกที่ดีขึ้น หลังจากร่วมโครงการของรัฐ เพราะโดยส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดทุนเรื่องไม่สามารถจำหน่าย หรือส่งออกสินค้าได้ เนื่องจากศก.โลก ยังไม่ดี
"มาตรการที่เกี่ยวกับเอสเอ็มอีเกือบทั้งหมดทำให้รัฐสูญเสียรายได้ และก็ยังดึงเงินของรัฐในอนาคตเพื่อไปแบกภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเอกชนอีกด้วย ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์ ก็เป็นบรรดาธนาคารต่างๆ สะท้อนว่า เป็นแนวคิดของนายแบงก์ มากกว่ารัฐมนตรีที่ห่วงใยประชาชนอย่างแท้จริง" นายอุเทนกล่าว
นายอุเทน กล่าวต่อว่า มาตรการของทีมศก.รัฐบาล โดยนายสมคิด และ นายอดิศักดิ์ ส่วนใหญ่ก็เป็นแนวคิดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2548 ซึ่งเศรษฐกิจโลกตอนนั้นดี ผลิตอะไรไปก็ขายได้ ต่างจากในตอนนี้ ที่ผู้ซื้อไม่มีกำลังซื้อ แล้วจะเพิ่มการผลิตเพื่ออะไร ดังนั้นมาตรการเดิมๆในยุคนั้น แต่นำมาใช้ในห้วงเวลาที่ต่างกันย่อมไม่มีทา งพลิกฟื้นประเทศในตอนนี้ได้ ทางที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาคือ การอดออม รัดเข็มขัด โดยเฉพาะภาครัฐเอง ที่ต้องคำนึงถึงผลที่จะได้ในการลงทุน หรือนำงบประมาณไปใช้ หากไม่คุ้มค่าก็ควรที่อดออม เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ภาวะศก.โลกโดยรวม ยังไม่ดี
"นายกฯประยุทธ์ กำลังถูกคุณสมคิด หลอกอยู่ เหล้าเก่าในขวดเก่า แถมยังเป็นเหล้าปลอมอีกด้วย โดยการนำมาตรการเก่าๆ ที่คิดแค่เพียงการกระตุ้น โดย ลด แลก แจก แถม รัฐต้องไปอุ้มบรรดาธุรกิจเอกชน โดยนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน ซึ่งไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาในตอนนี้ แต่จะพาประเทศไปที่ปากเหวมากกว่า" นายอุเทน กล่าว