อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
http://as.nida.ac.th/th/
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาวิเคราะห์ธุรกิจและการวิจัย
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
http://as.nida.ac.th/th/
วันนี้เรามาคุยกันเรื่องเบาๆ ดีกว่า คือเรื่องการปฏิรูปตำรวจไทย ผมขอเล่าเรื่องเบาๆ ที่ได้ประสบพบเจอกับตนเอง คือการถูกตำรวจเรียกเก็บเงินค่าอำนวยความสะดวกค่าน้ำร้อนน้ำชา และขอนำไปเปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่ได้พบเจอกับตำรวจในสหรัฐอเมริกา รัฐนิวยอร์ก ในขณะที่ไปศึกษาและทำงานที่นั่น โดยขอยืมชื่อหนังสือ มองอเมริกามาแก้ปัญหาไทย ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) ที่เคารพยิ่งมาเป็นชื่อบทความนี้
เมื่อแปดปีก่อน ผมต้องไปขนเฟอร์นิเจอร์ไม้สักอายุเป็นร้อยปีมาจากบ้านย่าเต็มบรรจุเต็มรถหกล้อ ซึ่งพรรคพวกกันเอามาให้ใช้และมาช่วยขับรถและขนให้ด้วย รถวิ่งมาจากแถวหัวลำโพงจนถึงหน้าสวนจตุจักร บริเวณถนนพหลโยธินขาออก หน้าสถานีขนส่งหมอชิตเก่า แล้วทันใดนั้นก็มีจ่าแก่ๆ มาโบกรถหกล้อที่ขนเฟอร์นิเจอร์ไม้สักโบราณมาเต็มรถ ผมเดินลงมาจากรถเพื่อมาเจรจา ตำรวจท่านเริ่มยัดเยียดข้อหาทันทีว่า นี่คุณบรรทุกไม้เถื่อน ผิดกฎหมายไม่ได้ตีตรา รู้ไหมว่าเป็นความผิดอาญา ผมก็เลยตอบกลับไปว่า จ่าลองดูสิ ของโบราณ เฟอร์นิเจอร์ไม้สักอายุเป็นร้อยปี มันมีมาก่อนจะมีการตีตราไม้อีกมั้ง แล้วนี่ไม้แปรรูปจนเป็นเฟอร์นิเจอร์แล้ว ไม่ใช่ท่อนไม้สัก ไม่ใช่ซุง ไม่ใช่แม้แต่ไม้กระดานแผ่น จะให้เอาตราที่ไหน มาตี ผมขนของปู่ย่า ตายาย เป็นร้อยๆ ปี ของมรดกมา พอเถียง จ่าทำหน้าเสีย และเริ่มยัดเยียดข้อหาใหม่ให้ผม โดยพูดว่า โอเค ถ้าอย่างนั้นคุณบรรทุกสูงเกิน เป็นอันตราย ผมก็เลยตอบกลับไปว่า ตรงไหน ผมเอาเชือกมัดแน่นหนามาก และความสูงของที่บรรทุกไม่เกินขอบไม้ของรถหกล้อ ไม่น่าจะสูงเกิน จะบอกไม่ปลอดภัยก็ไม่ได้ เพราะผมปิดประตู ทั้งยังเอาเชือกมัดแน่นมากป้องกันการร่วงหล่น จ่าอย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า จ่าแก่ๆ ไม่ยอมลดหละ ไม่รู้หละ คุณบรรทุกน้ำหนักเกิน 28 ตัน ผมเลยเถียงว่า เฟอร์นิเจอร์ไม้เปล่าๆ ไม่มีอะไรเลย ตู้เตียง เก้าอี้ทั้งนั้น โปร่งๆ ทั้งหมด ไม่มีทางเกิน 28 ตัน จะให้ผมไปชั่งน้ำหนัก ก็ยังได้ ขนกันเองเมื่อเช้านี้ ไม่กี่คน อย่างไรก็ไม่เกินน้ำหนักบรรทุก จ่าต้องการอะไรแน่?
ในระหว่างที่เจรจากันหลายสิบนาทีกลางแดดเปรี้ยงยามเที่ยงวัน ทำให้รถติดยาวมาก และรถคันหลังไปไม่ได้ ต่างกดแตรกันสนั่นถนน เพื่อนผมอีกคนลงมาจัดการ แล้วไล่ผมขึ้นรถ เพราะรู้ว่าผมไม่ยอมจ่าแน่ๆ ผมมาทราบในภายหลัง (และโกรธมาก) ว่าจ่านั้นต้องการค่าผ่านทางแค่ร้อยเดียว แล้วก็ปล่อยไป ทั้งที่เราไม่ได้ผิดอะไรเลย เพื่อนผมให้เงินจ่าไปเพราะเกรงใจรถที่ติดข้างหลังยาวถึงสะพานควาย!
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ไปศึกษาต่อที่นิวยอร์กซิตี้ สหรัฐอเมริกา ผมชอบปั่นจักรยาน เลยไปซื้อจักรยานมือสองราคาไม่แพงมาปั่นเป็นการออกกำลังกาย แต่ผมไม่รู้กฎหมายที่นั่นว่าห้ามปั่นจักรยานบนทางเท้า ผมปั่นจักรยานบนทางเดิน (ซึ่งกว้างแสนกว้าง และไม่มีคนเดินสักเท่าไหร่) สักพักรถ NYPD ก็เปิดหวอไซเรน ไล่ตามผม ผมก็งงๆ ตำรวจบอกว่ารู้ไหมว่าคุณทำผิดกฎหมาย กะเหรี่ยงไทยแลนด์แบบเราก็ตอบไปตามตรงว่าไม่รู้ เพิ่งมาอเมริกาอาทิตย์แรก ตำรวจก็ขอพาสปอร์ตซึ่งไม่ได้พกมา ก็บอกเขาตามตรงว่าไม่ได้พกมา ตำรวจบอกว่ายูไม่มีพาสปอร์ตแล้วอยู่ที่ไหน ก็บอกที่อยู่ตำรวจไป แล้วตำรวจก็บอกว่างั้นไอจะตามยูไปที่อพาร์ทเมนท์ ให้ยูหยิบพาสปอร์ตลงมา ผมก็ทำตามตำรวจบอก พอไปถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ ตำรวจก็ได้พาสปอร์ตผมไป เปิดคอมพิวเตอร์ในรถตำรวจ คีย์เลขพาสปอร์ตเข้าไป แล้วพิมพ์ใบเสียค่าปรับมาเป็นจำนวน 50 เหรียญ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ทำตามความเคยชิน หยิบเงิน 50 เหรียญ ยื่นให้ทันที ตำรวจเอามือปัดมือผมลงจนธนบัตร 50 เหรียญ ร่วงหล่นลงบนถนน พร้อมกับบอกด้วยความโกรธว่า นี่คุณทำผิดกฎหมายอีกนะ คุณกำลัง bribe (ให้สินบน) เจ้าหน้าที่ ถ้าใครมาเห็นว่าไอรับเงินจากยู ไอจะโดนไล่ออกทันที ผมยืนงงแล้วถามว่าผมต้องทำอย่างไร เขาอธิบายว่าที่นิวยอร์กนั้นตำรวจห้ามเปรียบเทียบปรับเอง ถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ผมต้องไปที่ศาลเท่านั้น ตำรวจให้ใบจ่ายค่าปรับมาอีกอาทิตย์ผมไปศาลตามนัด คิวหน้าศาลยาวเหยียดเป็นกิโลเมตรอยู่ริมถนน คนมารอจ่ายค่าปรับมากมาย อากาศหนาวมากติดลบ 15 องศาเซลเซียส สุดท้ายพอได้เจอเจ้าหน้าที่ศาล ศาลบอกว่าเป็นความผิดลหุโทษ และเป็นความผิดครั้งแรก ทั้งยูก็เพิ่งมาจากไทยแลนด์ ศาลไม่คิดค่าปรับและสอนว่าอย่าทำอีกนะ
ผมเดินลงมาจากศาลด้วยความงงๆ ยิ่งคิดยิ่งพิศวง แต่กลับพึงพอใจมากๆ ว่า การมายืนรอตากลมหนาวกว่าครึ่งวัน แต่ได้รับความยุติธรรม ไม่ถูกตำรวจรังแก ไม่ถูกตำรวจเรียนสินบาทคาดสินบนนั้น เป็นเรื่องที่ผมพอใจมาก
การแบ่งแยกอำนาจกัน ให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุล เป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการปฏิรูปตำรวจไทย หากตำรวจมีอำนาจตั้งแต่ สืบสวน สอบสวน ปราบปราม จับกุม เปรียบเทียบปรับ ทำเองได้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีการแบ่งแยกอำนาจแล้ว เกรงเหลือเกินว่าจะเกิดการลุแก่อำนาจ เพราะ Absolute power tends to corrupt absolutely นั่นเอง ดังนั้นถ้าตำรวจไทยจะไม่สามารถจับเงินและเปรียบเทียบปรับเลยได้จะเป็นการดีมาก ชาวบ้านจะถูกรีดไถลดน้อยลง ในทางธุรกิจ เขาก็ให้แยก จัดซื้อ พัสดุ การเงิน และการบัญชี ออกจากกันให้หมด เพื่อให้เกิดระบบการควบคุมภายใน (Internal control) ที่ดีป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ แล้วทำไมเราจะไม่ปฏิรูปตำรวจแบบนี้บ้าง แยกอำนาจออกไป ตรวจสอบถ่วงดุล ป้องกันการลุแก่อำนาจ ไม่ให้จับเงินเลย แล้วยกอำนาจในการเปรียบเทียบปรับไปอยู่ที่กรมราชฑัณฑ์ หรืออยู่ที่ศาลได้ ก็จะเป็นการดีไม่น้อย ก็ขอฝากให้มองตำรวจสหรัฐอเมริกา มาแก้ปัญหาตำรวจไทย ไว้เป็นเรื่องเบาๆ อ่านเพลินๆ สวัสดีปีใหม่ครับผม