วานนี้ (17 ธ.ค.) นายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย–จีน (JC)ครั้งที่ 4 ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญการหารือครั้งนี้ว่า
นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีที่ได้พบกับ มนตรีแห่งรัฐจีน และได้ฝากความระลึกถึงไปยัง ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง และ นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อ เฉียงด้วย
ขณะที่มนตรีแห่งรัฐจีน แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่สละเวลาให้พบ พร้อมกล่าวว่า การประชุม JCไทย-จีน มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และหวังว่าผลการประชุมดังกล่าว จะช่วยส่งเสริม ด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเกิดผลเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีหวังให้จีนช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว และวัฒนธรรม รวมถึงให้มีการตั้งกลไกการประสานเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้าและการลงทุน ที่เป็นรูปธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือสินค้าเกษตร โดยเร็ว ซึ่งมนตรีแห่งรัฐจีน ยินดีให้การสนับสนุน พร้อมกล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน ว่าด้วยความกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 และลงนามซื้อขายข้าว และยางพารา โดยเป็นข้าว 1 ล้านตัน และ ยางพารา 2 แสนตัน
ในด้านการค้า นายกรัฐมนตรีหวังให้การค้าสองฝ่ายขยายตัวเป็นสองเท่าของตัวเลขการค้าในปัจจุบัน และตั้งจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวน 10 ล้านคนในปีหน้า ซึ่งมนตรีแห่งรัฐจีน กล่าวว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายมีมากถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ มูลค่าการค้าจะสูงถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับความร่วมมือด้านรถไฟ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของไทยในการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านรถไฟ ซึ่งความร่วมมือด้านรถไฟมีความสำคัญในภูมิภาคที่ไทยกับจีนจะได้ประโยชน์ร่วมกัน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาข้อสรุปรวมกันในประเด็นที่ยังค้างคาอยู่โดยเร็ว ซึ่งนอกจากการส่งเสริมความเชื่อมโยงทางระบบราง ไทยกับจีน ควรร่วมมือกันส่งเสริมความเชื่อมโยงอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย เช่น เส้นทางถนน การขนส่งทางน้ำ และอากาศ
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าไทยกับจีนยังมีศักยภาพที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของไทยได้อีกมาก จึงประสงค์จะเชิญชวนจีนเข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคใต้ของไทย ซึ่งมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง โดยเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของทั้งผลไม้ ยางพารา และอาหารฮาลาล ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจในภาคใต้ จะนำไปสู่การพัฒนาระบบรางมาตรฐานเชื่อมต่อจากกรุงเทพฯลงไปยังภาคใต้ด้วย
นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีที่ได้พบกับ มนตรีแห่งรัฐจีน และได้ฝากความระลึกถึงไปยัง ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง และ นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อ เฉียงด้วย
ขณะที่มนตรีแห่งรัฐจีน แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่สละเวลาให้พบ พร้อมกล่าวว่า การประชุม JCไทย-จีน มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และหวังว่าผลการประชุมดังกล่าว จะช่วยส่งเสริม ด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเกิดผลเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีหวังให้จีนช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว และวัฒนธรรม รวมถึงให้มีการตั้งกลไกการประสานเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้าและการลงทุน ที่เป็นรูปธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือสินค้าเกษตร โดยเร็ว ซึ่งมนตรีแห่งรัฐจีน ยินดีให้การสนับสนุน พร้อมกล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน ว่าด้วยความกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 และลงนามซื้อขายข้าว และยางพารา โดยเป็นข้าว 1 ล้านตัน และ ยางพารา 2 แสนตัน
ในด้านการค้า นายกรัฐมนตรีหวังให้การค้าสองฝ่ายขยายตัวเป็นสองเท่าของตัวเลขการค้าในปัจจุบัน และตั้งจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวน 10 ล้านคนในปีหน้า ซึ่งมนตรีแห่งรัฐจีน กล่าวว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายมีมากถึง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ มูลค่าการค้าจะสูงถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับความร่วมมือด้านรถไฟ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของไทยในการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านรถไฟ ซึ่งความร่วมมือด้านรถไฟมีความสำคัญในภูมิภาคที่ไทยกับจีนจะได้ประโยชน์ร่วมกัน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาข้อสรุปรวมกันในประเด็นที่ยังค้างคาอยู่โดยเร็ว ซึ่งนอกจากการส่งเสริมความเชื่อมโยงทางระบบราง ไทยกับจีน ควรร่วมมือกันส่งเสริมความเชื่อมโยงอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย เช่น เส้นทางถนน การขนส่งทางน้ำ และอากาศ
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าไทยกับจีนยังมีศักยภาพที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของไทยได้อีกมาก จึงประสงค์จะเชิญชวนจีนเข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคใต้ของไทย ซึ่งมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง โดยเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของทั้งผลไม้ ยางพารา และอาหารฮาลาล ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจในภาคใต้ จะนำไปสู่การพัฒนาระบบรางมาตรฐานเชื่อมต่อจากกรุงเทพฯลงไปยังภาคใต้ด้วย
