ผู้จัดการรายวัน 360 - หน่วยข่าวกรองรัสเซียแจ้งเตือน 10 ชาวซีเรียเอี่ยวกลุ่มไอเอสเข้าไทยหวังก่อเหตุร้าย พบแล้ว 8 ยังไม่รู้อีก 2 สั่งคุมเข้มแหล่งรัสเซีย-พันธมิตร ขณะที่เกิดเหตุคนร้ายชาย 1 หญิง 1 อาวุธครบมือกราดยิงในปาร์ตี้คริสต์มาสที่แคลิฟอร์เนียมีผู้เสียชีวิต 14 ราย นับเป็นเหตุเลวร้ายที่สุดในรอบ 3 ปี โดยตำรวจยังไม่ฟันธงแรงจูงใจ รวมถึงยังไม่ตัดความเป็นไปได้เรื่องการก่อการร้าย
วานนี้ ( 3 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า พล.ต.ต.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (รองผบช.ส.) ปฏิบัติราชการแทน ผบช.ส.ลงนามในหนังสือคำสั่งที่ 0028.122/138 ลงวันที่ 27 พ.ย.58 เรื่องติดตามพฤติการณ์ชาวต่างชาติ ใจความว่า ด้วยหน่วยต่อต้านข่าวกรองของรัสเซีย (เอฟเอสบี) ประสานผ่านสมช.แจ้งเตือนความเป็นไปได้ในการก่อเหตุร้ายของกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ต่อผลประโยชน์ของรัสเซียในประเทศไทย โดยระบุว่ามีชาวซีเรีย 10 ราย ที่เกี่ยวข้องกับรัฐอิสลามหรือไอเอส ได้เดินทางเข้าไทยแล้วระหว่างวันที่ 15-31 ต.ค. 58 และได้แยกเดินทางไปพัทยา 4 ราย ภูเก็ต 2 ราย กทม. 2 ราย และอีก 2 รายไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดและยังไม่ทราบชื่อ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อเหตุร้ายต่อผลประโยชน์ของรัสเซียและกลุ่มพันธมิตรในไทย
โดยหนังสือดังกล่าวระบุให้พิจารณาดำเนินการ ดังนี้ 1.สืบสวนติดตาม พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงจากข่าวสารดังกล่าว 2.เพิ่มความเข้มในการสืบสวนติดตาม สถนที่เป้าหมายจากฝ่ายรัสเซียที่มีความกังวลว่าจะเกิดเหตุร้าย รวมถึงสถานที่ของประเทศพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยียม สวีเดน และออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายในไทยโดยเด้ดขาด 3.บก.ส.1-2 เร่งพิสูจน์ทราบข่าวสารกลุ่มบุคคลชาวซีเรียที่เดินทางเข้าไทยทั้ง 10 ราย 4.ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันกล่าวคือ สถานที่สำคัญ แหล่งพักอาศัย แหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งหมด โดยเน้นดำเนินการกลุ่มประเทศคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายพันธมิตรที่ร่วมโจมตีกลุ่มไอเอส กับกลุ่มเครือข่ายไอเอสเป็นอันดับแรกก่อน 5.บก.ส.3 เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคล และ 6.ให้รายงานผลการปฏิบัติตามสายการบังคับบัญชาทราบทุกสัปดาห์
*** ตร.ยังไม่ฟันธงเหตุจูงใจคนร้าย
ขณะที่ได้เกิดเหตุคนร้ายชาย 1 หญิง 1 อาวุธครบมือสาดกระสุนสังหารเหยื่อ 14 รายในปาร์ตี้คริสต์มาสที่แคลิฟอร์เนียเมื่อวันพุธ (2) ซึ่งถือเป็นเหตุกราดยิงครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 3 ปีในอเมริกา โดยตำรวจระบุว่า มือปืน 2 คนนี้ คือ ไซเอ็ด ฟารุค พลเมืองอเมริกันวัย 28 ปี และแทชฟีน มาลิค วัย 27 ปี ที่ยังไม่สามารถระบุสัญชาติได้ ทั้งคู่น่าจะเป็นคู่แต่งงานหรือคู่หมั้นกัน
ขณะที่ จาร์ร็อด เบอร์กวน ผู้บัญชาการตำรวจเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน, มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ยืนยันว่า ทั้งคู่ถูกสังหารเสียชีวิต ในการยิงต่อสู้กัน โดยที่ตำรวจได้ไล่ติดตาม จากนั้นได้เข้าล้อมรถยนต์ เอสยูวี สีดำคันหนึ่ง
สำหรับผู้ถูกจับกุมรายที่ 3 ซึ่งถูกรวบตัวขณะพยายามหลบหนีจากที่เกิดเหตุ เบอร์กวนกล่าวว่า บุคคลผู้นี้มีบทบาทอย่างไรในคดีนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่ตัวเขาไม่เชื่อว่าได้เข้าร่วมในการกราดยิงคราวนี้ด้วย
หนุ่มสาวคู่นี้เข้าโจมตีปาร์ตี้คริสต์มาสที่จัดขึ้นในอาคารหลังหนึ่งของศูนย์ภูมิภาคอินแลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์พัฒนาผู้ทุพพลภาพของทางการเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน ศูนย์แห่งนี้อยู่ห่างจากนครลอสแองเจลีส ไปทางตะวันออกราว 100 กิโลเมตร ทั้งนี้เหตุกราดยิงเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 17 คน
เบอร์กวนยังเปิดเผยว่า ฟารุค ที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของเทศมณฑลซานเบอร์นาดิโนมานาน 5 ปี ร่วมสังสรรค์ในงานปาร์ตี้ของสำนักงาน ก่อนผละออกไปหลังเกิดเหตุโต้เถียง และไม่นานก็กลับมาพร้อมมาลิก โดยทั้งคู่แต่งกายในชุดคล้ายหน่วยจู่โจม มีทั้งปืนไรเฟิลและปืนกึ่งอัตโนมัติ และเปิดฉากกราดยิงไม่เลือกหน้า ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอาวุธและชุดที่สวม น่าเชื่อว่า เหตุการณ์นี้มีการวางแผนมาล่วงหน้า
เบอร์กวนยังระบุว่า ทั้งคู่ซุกซ่อนระเบิดไว้ตามจุดต่างๆ ทำให้เกิดความล่าช้าในการตรวจสอบที่เกิดเหตุและการระบุตัวเหยื่อ
“เวลานี้เรายังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจ” ผู้บัญชาการตำรวจผู้นี้กล่าว “เราไม่ได้ตัดประเด็นเรื่องก่อการร้ายออกไป”
มีรายงานว่าในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้บุกไปยังอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองเรดแลนด์ ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ซึ่งมีผู้พบเห็นผู้ต้องสงสัยทั้งคู่ ก่อนที่ตำรวจจะเปิดฉากไลล่าและเกิดการยิงต่อสู้กันห่างจากศูนย์ภูมิภาคอินแลนด์ไม่กี่กิโลเมตร ทำให้ผู้ต้องสงสัยทั้งคู่เสียชีวิต
เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุกราดยิงครั้งรุนแรงที่สุดในอเมริกาภายหลังวันที่ 14 ธันวาคม 2012 ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งสังหารเหยื่อ 26 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 20 คน ในโรงเรียนประถมศึกษาในแซนดี้ ฮุก เมืองนิวตัน รัฐคอนเนตทิคัต
นอกจากนั้นยังถือว่า มีรูปแบบผิดแผกไปจากเหตุกราดยิงหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่มีผู้ก่อการเพียงคนเดียว รวมทั้งเกิดขึ้นขณะที่อเมริกายกระดับการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้น หลังเหตุโจมตีปารีสเมื่อวันที่ 13 เดือนที่แล้ว
เหยื่อในเหตุการณ์ล่าสุดหลายคนเล่าว่า ต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานหรือห้องน้ำในศูนย์อินแลนด์ ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น
ที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่เพิ่งเรียกร้องให้รัฐสภาผลักดันกฎหมายเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมอาวุธปืน หลังเหตุกราดยิงในศูนย์วางแผนครอบครัวที่โคโรลาโด ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3 รายสดๆ ร้อนๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ย้ำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า อเมริกากำลังเกิดรูปแบบการกราดยิงสังหารหมู่ อย่างชนิดที่ไม่พบในประเทศอื่นใดของโลก
“มีมาตรการบางอย่างที่เราสามารถทำได้ ซึ่งแม้ไม่ใช่เพื่อกำจัดเหตุกราดยิงทั้งหมดเหล่านี้ แต่ก็สามารถลดความถี่ที่เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้น”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของมาสส์ ชูตติ้ง แทรคเกอร์ เหตุการณ์โจมตีครั้งล่าสุดทำให้จำนวนการกราดยิงที่มีผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บ 4 รายขึ้นไปในอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 352 ครั้ง เฉพาะในปีนี้
วานนี้ ( 3 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า พล.ต.ต.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (รองผบช.ส.) ปฏิบัติราชการแทน ผบช.ส.ลงนามในหนังสือคำสั่งที่ 0028.122/138 ลงวันที่ 27 พ.ย.58 เรื่องติดตามพฤติการณ์ชาวต่างชาติ ใจความว่า ด้วยหน่วยต่อต้านข่าวกรองของรัสเซีย (เอฟเอสบี) ประสานผ่านสมช.แจ้งเตือนความเป็นไปได้ในการก่อเหตุร้ายของกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ต่อผลประโยชน์ของรัสเซียในประเทศไทย โดยระบุว่ามีชาวซีเรีย 10 ราย ที่เกี่ยวข้องกับรัฐอิสลามหรือไอเอส ได้เดินทางเข้าไทยแล้วระหว่างวันที่ 15-31 ต.ค. 58 และได้แยกเดินทางไปพัทยา 4 ราย ภูเก็ต 2 ราย กทม. 2 ราย และอีก 2 รายไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดและยังไม่ทราบชื่อ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อเหตุร้ายต่อผลประโยชน์ของรัสเซียและกลุ่มพันธมิตรในไทย
โดยหนังสือดังกล่าวระบุให้พิจารณาดำเนินการ ดังนี้ 1.สืบสวนติดตาม พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงจากข่าวสารดังกล่าว 2.เพิ่มความเข้มในการสืบสวนติดตาม สถนที่เป้าหมายจากฝ่ายรัสเซียที่มีความกังวลว่าจะเกิดเหตุร้าย รวมถึงสถานที่ของประเทศพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยียม สวีเดน และออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายในไทยโดยเด้ดขาด 3.บก.ส.1-2 เร่งพิสูจน์ทราบข่าวสารกลุ่มบุคคลชาวซีเรียที่เดินทางเข้าไทยทั้ง 10 ราย 4.ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันกล่าวคือ สถานที่สำคัญ แหล่งพักอาศัย แหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งหมด โดยเน้นดำเนินการกลุ่มประเทศคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายพันธมิตรที่ร่วมโจมตีกลุ่มไอเอส กับกลุ่มเครือข่ายไอเอสเป็นอันดับแรกก่อน 5.บก.ส.3 เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคล และ 6.ให้รายงานผลการปฏิบัติตามสายการบังคับบัญชาทราบทุกสัปดาห์
*** ตร.ยังไม่ฟันธงเหตุจูงใจคนร้าย
ขณะที่ได้เกิดเหตุคนร้ายชาย 1 หญิง 1 อาวุธครบมือสาดกระสุนสังหารเหยื่อ 14 รายในปาร์ตี้คริสต์มาสที่แคลิฟอร์เนียเมื่อวันพุธ (2) ซึ่งถือเป็นเหตุกราดยิงครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 3 ปีในอเมริกา โดยตำรวจระบุว่า มือปืน 2 คนนี้ คือ ไซเอ็ด ฟารุค พลเมืองอเมริกันวัย 28 ปี และแทชฟีน มาลิค วัย 27 ปี ที่ยังไม่สามารถระบุสัญชาติได้ ทั้งคู่น่าจะเป็นคู่แต่งงานหรือคู่หมั้นกัน
ขณะที่ จาร์ร็อด เบอร์กวน ผู้บัญชาการตำรวจเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน, มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ยืนยันว่า ทั้งคู่ถูกสังหารเสียชีวิต ในการยิงต่อสู้กัน โดยที่ตำรวจได้ไล่ติดตาม จากนั้นได้เข้าล้อมรถยนต์ เอสยูวี สีดำคันหนึ่ง
สำหรับผู้ถูกจับกุมรายที่ 3 ซึ่งถูกรวบตัวขณะพยายามหลบหนีจากที่เกิดเหตุ เบอร์กวนกล่าวว่า บุคคลผู้นี้มีบทบาทอย่างไรในคดีนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่ตัวเขาไม่เชื่อว่าได้เข้าร่วมในการกราดยิงคราวนี้ด้วย
หนุ่มสาวคู่นี้เข้าโจมตีปาร์ตี้คริสต์มาสที่จัดขึ้นในอาคารหลังหนึ่งของศูนย์ภูมิภาคอินแลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์พัฒนาผู้ทุพพลภาพของทางการเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน ศูนย์แห่งนี้อยู่ห่างจากนครลอสแองเจลีส ไปทางตะวันออกราว 100 กิโลเมตร ทั้งนี้เหตุกราดยิงเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 17 คน
เบอร์กวนยังเปิดเผยว่า ฟารุค ที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของเทศมณฑลซานเบอร์นาดิโนมานาน 5 ปี ร่วมสังสรรค์ในงานปาร์ตี้ของสำนักงาน ก่อนผละออกไปหลังเกิดเหตุโต้เถียง และไม่นานก็กลับมาพร้อมมาลิก โดยทั้งคู่แต่งกายในชุดคล้ายหน่วยจู่โจม มีทั้งปืนไรเฟิลและปืนกึ่งอัตโนมัติ และเปิดฉากกราดยิงไม่เลือกหน้า ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอาวุธและชุดที่สวม น่าเชื่อว่า เหตุการณ์นี้มีการวางแผนมาล่วงหน้า
เบอร์กวนยังระบุว่า ทั้งคู่ซุกซ่อนระเบิดไว้ตามจุดต่างๆ ทำให้เกิดความล่าช้าในการตรวจสอบที่เกิดเหตุและการระบุตัวเหยื่อ
“เวลานี้เรายังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจ” ผู้บัญชาการตำรวจผู้นี้กล่าว “เราไม่ได้ตัดประเด็นเรื่องก่อการร้ายออกไป”
มีรายงานว่าในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้บุกไปยังอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองเรดแลนด์ ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ซึ่งมีผู้พบเห็นผู้ต้องสงสัยทั้งคู่ ก่อนที่ตำรวจจะเปิดฉากไลล่าและเกิดการยิงต่อสู้กันห่างจากศูนย์ภูมิภาคอินแลนด์ไม่กี่กิโลเมตร ทำให้ผู้ต้องสงสัยทั้งคู่เสียชีวิต
เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุกราดยิงครั้งรุนแรงที่สุดในอเมริกาภายหลังวันที่ 14 ธันวาคม 2012 ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งสังหารเหยื่อ 26 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 20 คน ในโรงเรียนประถมศึกษาในแซนดี้ ฮุก เมืองนิวตัน รัฐคอนเนตทิคัต
นอกจากนั้นยังถือว่า มีรูปแบบผิดแผกไปจากเหตุกราดยิงหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่มีผู้ก่อการเพียงคนเดียว รวมทั้งเกิดขึ้นขณะที่อเมริกายกระดับการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้น หลังเหตุโจมตีปารีสเมื่อวันที่ 13 เดือนที่แล้ว
เหยื่อในเหตุการณ์ล่าสุดหลายคนเล่าว่า ต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องทำงานหรือห้องน้ำในศูนย์อินแลนด์ ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น
ที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่เพิ่งเรียกร้องให้รัฐสภาผลักดันกฎหมายเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมอาวุธปืน หลังเหตุกราดยิงในศูนย์วางแผนครอบครัวที่โคโรลาโด ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3 รายสดๆ ร้อนๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ย้ำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า อเมริกากำลังเกิดรูปแบบการกราดยิงสังหารหมู่ อย่างชนิดที่ไม่พบในประเทศอื่นใดของโลก
“มีมาตรการบางอย่างที่เราสามารถทำได้ ซึ่งแม้ไม่ใช่เพื่อกำจัดเหตุกราดยิงทั้งหมดเหล่านี้ แต่ก็สามารถลดความถี่ที่เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้น”
ทั้งนี้ จากข้อมูลของมาสส์ ชูตติ้ง แทรคเกอร์ เหตุการณ์โจมตีครั้งล่าสุดทำให้จำนวนการกราดยิงที่มีผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บ 4 รายขึ้นไปในอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 352 ครั้ง เฉพาะในปีนี้