วานนี้ (3ธ.ค.) มูลนิธิบูรณะนิเวศ และเครือข่ายประชาชนศึกษาและติดตามปัญหาขยะ 7 จังหวัด (ปทุมธานี ชลบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา สระบุรี ) ร่วม 100 คน นำโดยน.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เข้ายื่นฟ้อง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1- 2 ต่อศาลปกครองกลาง จากกรณีที่รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2558 โดยมีการแก้ไขให้ยกเว้น โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิง ส่งผลให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงทุกขนาด ไม่ต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งที่จากเดิมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทุกประเภทที่มีกำลังการผลิตเกิน 10 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ต้องจัดทำ EIA
ดังนั้นทางมูลนิธิและเครือข่ายฯ จึงฟ้องปกครองหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้องในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ออกประกาศกระทรวงฯ ฉบับดังกล่าวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และเป็นการยกเลิกมาตรการ หรือกลไกที่สำคัญในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของชุมชน ปิดกั้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมแสดงความคิดเห็นและติดตามตรวจสอบโครงการโรงไฟฟ้าขยะทั้งของรัฐ และเอกชน โดยมีคำขอให้เพิกถอนประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2558 ที่มีการยกเว้นให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงทุกขนาด ไม่ต้องทำ EIA และขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 เรื่องการกำหนดประมวลหลักการปฏิบัติสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิง (COP)
ทั้งนี้ น.ส.เพ็ญโฉม กล่าวว่า การทำ EIA มีหลักการที่รัดกุม มีการติดตามผลการเปลี่ยนแปลงผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะที่การทำ COPนั้น ไม่ได้กำหนดในหลักเกณฑ์นี้ ไม่มีมาตรการการลดผลกระทบที่เกิดกับประชาชน ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้า ก็ไม่ต้องส่งรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการทำ COP ก็ไม่ผ่านคณะกรรมการผู้ชำนาญการตรวจสอบ ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีมลพิษสูงมาก การใช้ COP มาควบคุมจึงไม่เพียงพอ จะเห็นได้จากในต่างประเทศ ที่แม้จะมีโรงไฟฟ้าจากขยะ แต่เขาก็จะพยายามลดปริมาณ และมาใช้วิธีการฝังกลบหรือวิธีอื่นแทน การที่รัฐบาลยกเลิก EIA ถือเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนและไม่คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ทางกุล่มกำลังพิจารณาว่าจะมีการยื่นฟ้องโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะในพื้นที่อื่นๆ หรือไม่
"รัฐบาลที่มาในช่วงพิเศษ ควรจะจำกัดเรื่องการออกกฎหมายและนโยบายสำคัญที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้รัฐบาลชุดปัจจุบันควรเร่งร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งและให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้เป็นผู้พิจารณาในเรื่องการออกกฎหมาย และนโยบายสำคัญเช่นนี้”น.ส.เพ็ญโฉม กล่าว
ดังนั้นทางมูลนิธิและเครือข่ายฯ จึงฟ้องปกครองหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้องในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ออกประกาศกระทรวงฯ ฉบับดังกล่าวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และเป็นการยกเลิกมาตรการ หรือกลไกที่สำคัญในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของชุมชน ปิดกั้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมแสดงความคิดเห็นและติดตามตรวจสอบโครงการโรงไฟฟ้าขยะทั้งของรัฐ และเอกชน โดยมีคำขอให้เพิกถอนประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2558 ที่มีการยกเว้นให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงทุกขนาด ไม่ต้องทำ EIA และขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2558 เรื่องการกำหนดประมวลหลักการปฏิบัติสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิง (COP)
ทั้งนี้ น.ส.เพ็ญโฉม กล่าวว่า การทำ EIA มีหลักการที่รัดกุม มีการติดตามผลการเปลี่ยนแปลงผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะที่การทำ COPนั้น ไม่ได้กำหนดในหลักเกณฑ์นี้ ไม่มีมาตรการการลดผลกระทบที่เกิดกับประชาชน ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้า ก็ไม่ต้องส่งรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการทำ COP ก็ไม่ผ่านคณะกรรมการผู้ชำนาญการตรวจสอบ ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีมลพิษสูงมาก การใช้ COP มาควบคุมจึงไม่เพียงพอ จะเห็นได้จากในต่างประเทศ ที่แม้จะมีโรงไฟฟ้าจากขยะ แต่เขาก็จะพยายามลดปริมาณ และมาใช้วิธีการฝังกลบหรือวิธีอื่นแทน การที่รัฐบาลยกเลิก EIA ถือเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนและไม่คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ทางกุล่มกำลังพิจารณาว่าจะมีการยื่นฟ้องโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะในพื้นที่อื่นๆ หรือไม่
"รัฐบาลที่มาในช่วงพิเศษ ควรจะจำกัดเรื่องการออกกฎหมายและนโยบายสำคัญที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้รัฐบาลชุดปัจจุบันควรเร่งร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งและให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้เป็นผู้พิจารณาในเรื่องการออกกฎหมาย และนโยบายสำคัญเช่นนี้”น.ส.เพ็ญโฉม กล่าว