โดย ไพรัตน์ แย้มโกสุม
“ดูเป็นเห็นธรรม” ในทางตรงข้าม “ดูไม่เป็นไม่เห็นธรรม” นี่คือสัจจะธรรมดาที่นำไปใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะด้าน “การศึกษา” ซึ่งเป็นรากเหง้าของสรรพสิ่ง
การศึกษาคืออะไร?
มีนิยามมากมายก่ายกอง สนองความคิดจิตปรุงแต่งของแต่ละบุคคล...
การศึกษาคือความเจริญงอกงาม, การศึกษาคือชีวิต, การศึกษาคือปัจจัยที่ 5 ของชีวิต, การศึกษาคือการสร้างคนให้เป็นคน ฯลฯ
สำหรับผม-ผู้เขียน... “การศึกษาหรือการเรียนรู้ คือวิถีการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง โดยอาศัยการดู หรือพินิจพิจารณาว่าอะไรควรละ อะไรควรทำ ดูเป็นเห็นธรรม ดูไม่เป็นก็เห็นอธรรม”
ดูการศึกษา
คำว่า “ศึกษา” มาจากภาษาบาลีว่า “สิกฺขา”
“สิกขา 3” หรือ “ไตรสิกขา” คือข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษา คือ ฝึกหัดอบรม กาย วาจา จิตใจ และปัญญาให้ยิ่งขึ้นไป จนบรรลุจุดหมายสูงสุด คือพระนิพพาน
สิกขา 3 ได้แก่...
1. อธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง) คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรม ในทางความประพฤติอย่างสูง
2. อธิจิตตสิกขา (สิกขาคือจิตอันยิ่ง) คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิต เพื่อให้เกิดคุณธรรม เช่น สมาธิอย่างสูง
3. อธิปัญญาสิกขา (สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง) คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง
ทั้ง 3 อย่างเรียกง่ายๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
นี่คือ...รากเหง้าเราเอง
ดูเป็นก็เห็นธรรม คือเห็นรากเหง้าตนเอง
การศึกษาทุกวันนี้ ไม่ว่าที่ไหนๆ ในโลก เราเห็นรากเหง้าเราเองหรือเปล่า เราเห็นธรรมหรือเปล่า?
ถ้าเราเห็นธรรม เห็นรากเหง้าเราเอง มันก็จะไม่เกิดปัญหามากมายเหมือนทุกวันนี้
ปัญหาต่างๆ ที่เราแบกอยู่ เราไม่รู้เลยว่ามันคือปัญหา เราต่างก็ส่งเสริมกันสร้างเหตุแห่งปัญหาเพื่อเพิ่มภาระแก่ตัวเองและสังคม การแก้ปัญหาตามกระแสที่นิยมกัน มันก็คือการเพิ่มปัญหานั่นเอง ไม่อยู่ที่ไหนก็มีแต่ทุกข์ หาความสุขสบายมิได้เลย ปากหมาขี้เรื้อนที่วิ่งเกา ซุกเกาไปทั่ว
กับหมาขี้เรื้อน
เรื่องหมาขี้เรื้อนกับการศึกษาเนี่ย เพื่อความเข้าใจง่าย-เข้าถึงง่าย ขออาศัยเรื่องเล่าปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ณ วัดหนองป่าพง ของหลวงพ่อชา สุภัทโท ดังนี้...
“...ลูกชายนักธุรกิจใหญ่ มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่บัณฑิตใหม่หมาดๆ จากเมืองนอก จึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้ จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน
แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูป พลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอา ก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด และชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่า ก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตนออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมา ก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่ หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็น ก็บ่นว่า ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
โอ้ชีวิต! ความสำรวย หยิบโหย่ง ทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนี้ ผิวพรรณดูสะอาดสะอ้าน ชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้ว ช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีด เครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
อยู่มาได้พักใหญ่ พระใหม่อดีตนักเรียนนอก ก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆ ครั้ง จะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆ ไม่เห็นทำอะไร เอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มี ไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง
เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัด ที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัย รวมทั้งเสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่า ยุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้น เทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเอง เป็นต้น ด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
เย็นวันนั้น เป็นวันพระ 15 ค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่า พระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้ว หลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา พลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้พระภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ
“เธอทั้งหลาย เห็นหมาขี้เรื้อนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะ มันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นาน เพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะ มันไปนอนที่ไหน มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดังใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี”
“คิดอย่างนี้แล้ว มันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้น มันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองต่างหาก”
พูดจบแล้ว หลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลง เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนา หลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว
ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเอง ไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระใหม่อดีตนักเรียนนอก ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนหยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
แม้เมื่อออกพรรษาแล้ว โยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ไม่ยอมสึก
“อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อักสักหนึ่งพรรษา”
โยมแม่ได้ฟังแล้ว ก็ได้แค่ยกมืออนุโมทนาสาธุการ กราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถ พลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า คำว่า หมาขี้เรื้อนของพระลูกชาย หมายความว่าอย่างไรกันแน่...”
...(www.thammasatu.net)
จบเรื่องเล่า แต่ใจเราไม่จบ พินิจพิจารณาดูแล้ว...เราทั้งหลายทั้งปวง (ส่วนมาก) ก็คงไม่ต่างจากหมาขี้เรื้อน เพราะคันไม่หยุดไม่หย่อน คันได้คันดี คันนิยมชมกันตามกระแส
เราทั้งหลายทั้งปวง ก็คงเหมือนกับพระใหม่ไฟแรงที่เห็นสภาพวัดแล้วไม่ถูกใจไปเสียทุกอย่าง
พอหลวงพ่อเทศน์กัณฑ์ใหญ่ พร้อมชี้ให้ดูหมาขี้เรื้อน ชีวิตพระใหม่ก็เปลี่ยนไป ไม่อยากสึก ยอมรับตัวเองเป็นหมาขี้เรื้อน และอยากรักษาโรคให้หาย ณ วัดแห่งนี้
เราทั้งหลายทั้งปวง ก็คงเหมือนพระใหม่ ก่อนหลวงพ่อเทศน์
เราทั้งหลายทั้งปวง คงไม่เหมือนพระใหม่ หลังหลวงพ่อเทศน์
ถ้าเป็นเหมือนพระใหม่ หลังหลวงพ่อเทศน์ ถือว่าดีเลิศประเสริฐศรี นั่นคือ เริ่มตื่นรู้แล้ว หายหลับยืนแล้ว หายคันหายเกาแล้ว
สำหรับผม ยังเป็นหมาขี้เรื้อน ทั้งก่อนหลวงพ่อเทศน์ และหลังหลวงพ่อเทศน์ เพียงแต่อาการคันแห่งโรคขี้เรื้อน หลังหลวงพ่อเทศน์แล้ว ทุเลาเบาบางลงบ้างเท่านั้น
ความจริงบิดเบือน
ความจริงหรือสัจจะมี 2 อย่างคือ...
1. สมมติสัจจะ (ความจริงโดยสมมติ) คือความจริงที่ขึ้นต่อการยอมรับของคน, ความจริงที่ถือตามความกำหนดหมายตกลงกันไว้ของชาวโลก เช่น คน สัตว์ โต๊ะ หนังสือ เป็นต้น
2. ปรมัตถสัจจะ (ความจริงโดยปรมัตถ์) คือความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน, ความจริงตามความหมายขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะ และเท่าที่จะกล่าวถึงได้ เช่น รูป นาม เวทนา จิต เจตสิก เป็นต้น
คำว่า “ปรมัตถ์” หมายถึงประโยชน์อย่างยิ่ง หรือความจริงอันเป็นที่สุด ลึกซึ้ง ยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ ผู้เข้าถึงปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมขั้นสูงสุดนี้ ก็จะบรรลุเป็นอรหันต์
ความจริงสองอย่าง ระหว่างสมมติกับปรมัตถ์ เราทั้งหลายทั้งปวงทำหน้าที่ให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามสมมติ ก็น่าจะดีเลิศแล้ว ทั้งแก่ตนเอง และสังคมส่วนรวม
แต่นี่อะไรกัน แค่สมมติสัจจะก็ยังทำไม่ได้ เอาแต่สอนให้ผู้อื่นละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ แต่ผู้สอนกลับทำเสียเอง เช่น พอมีอำนาจก็คำราม อย่าโกงนะ อย่าคอร์รัปชันนะ เดี๋ยวเอาตาย จะจัดการขั้นเด็ดขาด ไม่ทันสิ้นเสียงคำราม ตัวเองและพวกพ้องกลับโกงเสียเอง (หรือเปล่า) อย่างนี้ก็เสียฟอร์มหมด
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะความจริงถูกบิดเบือน!
ภายนอกความจริงจ๋า น่าศรัทธา
ภายในตอแหลโคตรๆ จ๋า น่าสะอิดสะเอียน
ความจริงจะถูกบิดเบือนอย่างไร จะทำให้ข้อเท็จจริงผิดพลาดไปอย่างตั้งใจอย่างไร ก็ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือไม่ได้หรอก! ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ วันนี้เปิดเผยไม่ได้ วันต่อไปๆ ก็ย่อมเปิดเผยได้
“ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครทั้งนั้น ถ้ารากเหง้าไม่เน่า มันก็โปร่งใส ทำกันในที่แจ้ง ไม่คดไม่โกง หากรากเหง้าเน่า มันก็มืดๆ เมาๆ เอากัน โกงกัน ทั้งนั้นแหละ โยม!”
กระเทือนชีวิต
เด็ดดอกไม้สักดอก ยังกระเทือนถึงดวงดาว ทำลายป่าทั้งป่า จนหลายๆ ภูผากลายเป็นเขาหัวโล้น แรงกระเทือนมันจะรุนแรงขนาดไหน
คุณมีสิทธิอะไร ที่ไปสร้างแรงกระเทือนต่อชีวิตขนาดนั้น
มิใช่เฉพาะชีวิตมนุษย์ มันเป็นชีวิตของสรรพสัตว์ สรรพพืช รวมทั้งสรรพสิ่งในโลก ในจักรวาลด้วย
คุณก็ได้แต่อ้างว่า...ผมทำถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับสัมปทานมาจากรัฐ จึงมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าบนดิน ใต้ดิน ในน้ำ ใต้น้ำ ในอากาศ ฯลฯ ที่ผู้ให้สัมปทานไม่กล้าหือกับคุณ
คุณผู้รับ และรัฐผู้ให้ มีอะไรกันหรือเปล่า?
ถ้าไม่มีอะไรกัน ทำไมจึงกล้าทำ ในสิ่งที่ชั่วร้ายทำลายสังคม ทำลายโลก ทำลายจักรวาลขนาดนี้
มันลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนธรรมดาจะเข้าใจ แต่ประชาชนธรรมดา ก็พอเข้าใจแบบง่ายๆ ไม่ลึกลับซับซ้อนว่า...
“เมื่อความจริงถูกบิดเบือน ก็ย่อมมีผลกระทบกระเทือนอันชั่วร้ายต่อสรรพสิ่ง
อย่างหลีกเลี่ยงมิได้” แล้วเราจะมีผู้ปกครองบ้านเมืองไปหาพระแสงของ้าวอะไร?
“ดูการศึกษา
กับหมาขี้เรื้อน
ความจริงบิดเบือน
กระเทือนชีวิต”
การศึกษาคือความเจริญงอกงาม ซึ่งเป็นรากเหง้าของสรรพสิ่ง ยิ่งพัฒนา ก็ยิ่งไม่ต่างกับหมาขี้เรื้อนที่มีเหยื่อหรือสิ่งเร้า ให้เกาให้คันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งดูยิ่งทุเรศ สมเพชเวทนามนุษย์ ดุจสัตว์ที่มีจิตใจสูงจริงๆ
“ดูเป็นเห็นธรรม” ในทางตรงข้าม “ดูไม่เป็นไม่เห็นธรรม” นี่คือสัจจะธรรมดาที่นำไปใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะด้าน “การศึกษา” ซึ่งเป็นรากเหง้าของสรรพสิ่ง
การศึกษาคืออะไร?
มีนิยามมากมายก่ายกอง สนองความคิดจิตปรุงแต่งของแต่ละบุคคล...
การศึกษาคือความเจริญงอกงาม, การศึกษาคือชีวิต, การศึกษาคือปัจจัยที่ 5 ของชีวิต, การศึกษาคือการสร้างคนให้เป็นคน ฯลฯ
สำหรับผม-ผู้เขียน... “การศึกษาหรือการเรียนรู้ คือวิถีการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง โดยอาศัยการดู หรือพินิจพิจารณาว่าอะไรควรละ อะไรควรทำ ดูเป็นเห็นธรรม ดูไม่เป็นก็เห็นอธรรม”
ดูการศึกษา
คำว่า “ศึกษา” มาจากภาษาบาลีว่า “สิกฺขา”
“สิกขา 3” หรือ “ไตรสิกขา” คือข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษา คือ ฝึกหัดอบรม กาย วาจา จิตใจ และปัญญาให้ยิ่งขึ้นไป จนบรรลุจุดหมายสูงสุด คือพระนิพพาน
สิกขา 3 ได้แก่...
1. อธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง) คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรม ในทางความประพฤติอย่างสูง
2. อธิจิตตสิกขา (สิกขาคือจิตอันยิ่ง) คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิต เพื่อให้เกิดคุณธรรม เช่น สมาธิอย่างสูง
3. อธิปัญญาสิกขา (สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง) คือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง
ทั้ง 3 อย่างเรียกง่ายๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
นี่คือ...รากเหง้าเราเอง
ดูเป็นก็เห็นธรรม คือเห็นรากเหง้าตนเอง
การศึกษาทุกวันนี้ ไม่ว่าที่ไหนๆ ในโลก เราเห็นรากเหง้าเราเองหรือเปล่า เราเห็นธรรมหรือเปล่า?
ถ้าเราเห็นธรรม เห็นรากเหง้าเราเอง มันก็จะไม่เกิดปัญหามากมายเหมือนทุกวันนี้
ปัญหาต่างๆ ที่เราแบกอยู่ เราไม่รู้เลยว่ามันคือปัญหา เราต่างก็ส่งเสริมกันสร้างเหตุแห่งปัญหาเพื่อเพิ่มภาระแก่ตัวเองและสังคม การแก้ปัญหาตามกระแสที่นิยมกัน มันก็คือการเพิ่มปัญหานั่นเอง ไม่อยู่ที่ไหนก็มีแต่ทุกข์ หาความสุขสบายมิได้เลย ปากหมาขี้เรื้อนที่วิ่งเกา ซุกเกาไปทั่ว
กับหมาขี้เรื้อน
เรื่องหมาขี้เรื้อนกับการศึกษาเนี่ย เพื่อความเข้าใจง่าย-เข้าถึงง่าย ขออาศัยเรื่องเล่าปัญญาจากหมาขี้เรื้อน ณ วัดหนองป่าพง ของหลวงพ่อชา สุภัทโท ดังนี้...
“...ลูกชายนักธุรกิจใหญ่ มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่บัณฑิตใหม่หมาดๆ จากเมืองนอก จึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้ จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน
แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูป พลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอา ก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด และชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่า ก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตนออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมา ก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่ หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็น ก็บ่นว่า ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
โอ้ชีวิต! ความสำรวย หยิบโหย่ง ทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนี้ ผิวพรรณดูสะอาดสะอ้าน ชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้ว ช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีด เครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
อยู่มาได้พักใหญ่ พระใหม่อดีตนักเรียนนอก ก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆ ครั้ง จะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆ ไม่เห็นทำอะไร เอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มี ไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง
เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัด ที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัย รวมทั้งเสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่า ยุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้น เทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเอง เป็นต้น ด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
เย็นวันนั้น เป็นวันพระ 15 ค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่า พระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้ว หลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา พลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้พระภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ
“เธอทั้งหลาย เห็นหมาขี้เรื้อนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะ มันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นาน เพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะ มันไปนอนที่ไหน มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดังใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี”
“คิดอย่างนี้แล้ว มันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้น มันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองต่างหาก”
พูดจบแล้ว หลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลง เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนา หลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว
ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเอง ไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระใหม่อดีตนักเรียนนอก ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนหยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
แม้เมื่อออกพรรษาแล้ว โยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ไม่ยอมสึก
“อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อักสักหนึ่งพรรษา”
โยมแม่ได้ฟังแล้ว ก็ได้แค่ยกมืออนุโมทนาสาธุการ กราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถ พลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า คำว่า หมาขี้เรื้อนของพระลูกชาย หมายความว่าอย่างไรกันแน่...”
...(www.thammasatu.net)
จบเรื่องเล่า แต่ใจเราไม่จบ พินิจพิจารณาดูแล้ว...เราทั้งหลายทั้งปวง (ส่วนมาก) ก็คงไม่ต่างจากหมาขี้เรื้อน เพราะคันไม่หยุดไม่หย่อน คันได้คันดี คันนิยมชมกันตามกระแส
เราทั้งหลายทั้งปวง ก็คงเหมือนกับพระใหม่ไฟแรงที่เห็นสภาพวัดแล้วไม่ถูกใจไปเสียทุกอย่าง
พอหลวงพ่อเทศน์กัณฑ์ใหญ่ พร้อมชี้ให้ดูหมาขี้เรื้อน ชีวิตพระใหม่ก็เปลี่ยนไป ไม่อยากสึก ยอมรับตัวเองเป็นหมาขี้เรื้อน และอยากรักษาโรคให้หาย ณ วัดแห่งนี้
เราทั้งหลายทั้งปวง ก็คงเหมือนพระใหม่ ก่อนหลวงพ่อเทศน์
เราทั้งหลายทั้งปวง คงไม่เหมือนพระใหม่ หลังหลวงพ่อเทศน์
ถ้าเป็นเหมือนพระใหม่ หลังหลวงพ่อเทศน์ ถือว่าดีเลิศประเสริฐศรี นั่นคือ เริ่มตื่นรู้แล้ว หายหลับยืนแล้ว หายคันหายเกาแล้ว
สำหรับผม ยังเป็นหมาขี้เรื้อน ทั้งก่อนหลวงพ่อเทศน์ และหลังหลวงพ่อเทศน์ เพียงแต่อาการคันแห่งโรคขี้เรื้อน หลังหลวงพ่อเทศน์แล้ว ทุเลาเบาบางลงบ้างเท่านั้น
ความจริงบิดเบือน
ความจริงหรือสัจจะมี 2 อย่างคือ...
1. สมมติสัจจะ (ความจริงโดยสมมติ) คือความจริงที่ขึ้นต่อการยอมรับของคน, ความจริงที่ถือตามความกำหนดหมายตกลงกันไว้ของชาวโลก เช่น คน สัตว์ โต๊ะ หนังสือ เป็นต้น
2. ปรมัตถสัจจะ (ความจริงโดยปรมัตถ์) คือความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน, ความจริงตามความหมายขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะ และเท่าที่จะกล่าวถึงได้ เช่น รูป นาม เวทนา จิต เจตสิก เป็นต้น
คำว่า “ปรมัตถ์” หมายถึงประโยชน์อย่างยิ่ง หรือความจริงอันเป็นที่สุด ลึกซึ้ง ยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ ผู้เข้าถึงปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมขั้นสูงสุดนี้ ก็จะบรรลุเป็นอรหันต์
ความจริงสองอย่าง ระหว่างสมมติกับปรมัตถ์ เราทั้งหลายทั้งปวงทำหน้าที่ให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามสมมติ ก็น่าจะดีเลิศแล้ว ทั้งแก่ตนเอง และสังคมส่วนรวม
แต่นี่อะไรกัน แค่สมมติสัจจะก็ยังทำไม่ได้ เอาแต่สอนให้ผู้อื่นละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ แต่ผู้สอนกลับทำเสียเอง เช่น พอมีอำนาจก็คำราม อย่าโกงนะ อย่าคอร์รัปชันนะ เดี๋ยวเอาตาย จะจัดการขั้นเด็ดขาด ไม่ทันสิ้นเสียงคำราม ตัวเองและพวกพ้องกลับโกงเสียเอง (หรือเปล่า) อย่างนี้ก็เสียฟอร์มหมด
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะความจริงถูกบิดเบือน!
ภายนอกความจริงจ๋า น่าศรัทธา
ภายในตอแหลโคตรๆ จ๋า น่าสะอิดสะเอียน
ความจริงจะถูกบิดเบือนอย่างไร จะทำให้ข้อเท็จจริงผิดพลาดไปอย่างตั้งใจอย่างไร ก็ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือไม่ได้หรอก! ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ วันนี้เปิดเผยไม่ได้ วันต่อไปๆ ก็ย่อมเปิดเผยได้
“ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครทั้งนั้น ถ้ารากเหง้าไม่เน่า มันก็โปร่งใส ทำกันในที่แจ้ง ไม่คดไม่โกง หากรากเหง้าเน่า มันก็มืดๆ เมาๆ เอากัน โกงกัน ทั้งนั้นแหละ โยม!”
กระเทือนชีวิต
เด็ดดอกไม้สักดอก ยังกระเทือนถึงดวงดาว ทำลายป่าทั้งป่า จนหลายๆ ภูผากลายเป็นเขาหัวโล้น แรงกระเทือนมันจะรุนแรงขนาดไหน
คุณมีสิทธิอะไร ที่ไปสร้างแรงกระเทือนต่อชีวิตขนาดนั้น
มิใช่เฉพาะชีวิตมนุษย์ มันเป็นชีวิตของสรรพสัตว์ สรรพพืช รวมทั้งสรรพสิ่งในโลก ในจักรวาลด้วย
คุณก็ได้แต่อ้างว่า...ผมทำถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับสัมปทานมาจากรัฐ จึงมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าบนดิน ใต้ดิน ในน้ำ ใต้น้ำ ในอากาศ ฯลฯ ที่ผู้ให้สัมปทานไม่กล้าหือกับคุณ
คุณผู้รับ และรัฐผู้ให้ มีอะไรกันหรือเปล่า?
ถ้าไม่มีอะไรกัน ทำไมจึงกล้าทำ ในสิ่งที่ชั่วร้ายทำลายสังคม ทำลายโลก ทำลายจักรวาลขนาดนี้
มันลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนธรรมดาจะเข้าใจ แต่ประชาชนธรรมดา ก็พอเข้าใจแบบง่ายๆ ไม่ลึกลับซับซ้อนว่า...
“เมื่อความจริงถูกบิดเบือน ก็ย่อมมีผลกระทบกระเทือนอันชั่วร้ายต่อสรรพสิ่ง
อย่างหลีกเลี่ยงมิได้” แล้วเราจะมีผู้ปกครองบ้านเมืองไปหาพระแสงของ้าวอะไร?
“ดูการศึกษา
กับหมาขี้เรื้อน
ความจริงบิดเบือน
กระเทือนชีวิต”
การศึกษาคือความเจริญงอกงาม ซึ่งเป็นรากเหง้าของสรรพสิ่ง ยิ่งพัฒนา ก็ยิ่งไม่ต่างกับหมาขี้เรื้อนที่มีเหยื่อหรือสิ่งเร้า ให้เกาให้คันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งดูยิ่งทุเรศ สมเพชเวทนามนุษย์ ดุจสัตว์ที่มีจิตใจสูงจริงๆ