ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยังกระเพื่อมกันไม่หยุดสำหรับการจัดทัพสีกากีให้สอดคล้องกับขั้วอำนาจในปัจจุบัน ล่าสุดมีนายตำรวจระดับสูงโดนเด้งกระทันหัน 1 ราย คือ พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบก.ส.) ส่วน พล.ต.ต.อัครเดช พิมลศรี ผู้บังคับการตำรวจปราบปราม (ผบก.ป.) แม้วันนี้จะยังไม่ชัดเจน แต่ข่าววงในยืนยันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงกับเก้าอี้ใหญ่ตัวนี้อย่างแน่นอน
“บิ๊กรอย - บิ๊กอ้อ” กำลังเจอมรสุม จู่ๆ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ตกเป็นประเด็นข่าวใหญ่อีกคนเมื่อ “เดอะแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกมาบอกกับนักข่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนถึงปัญหาการจราจรใน กทม.เป็นอย่างมาก และเชิญ ผบช.น.เข้าพบเพื่อหารือแก้ไข
โดยให้การบ้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ นำไปศึกษาอย่างเร่งด่วนเพื่อลดปัญหาให้ได้ 40 - 50 เปอร์เซ็นต์ในเวลา 2 เดือน หากไม่เรียบร้อยจะพิจารณาต่อไป
ข่าวว่า “บิ๊กแป๊ะ” ขอต่อรอง ”เดอะแป๊ะ” จาก 2 เดือนเป็น 3 เดือน ก่อนที่ ผบ.ตร. จะย้ำว่าขอให้นำมาตรการเก่าๆ คือระดมสติปัญญาของผบก. ผกก.และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดช่วยกันจัดการกับปัญหาดังเช่นทุกยุคที่ผ่านมา
หากจะแปลไทยเป็นไทยน่าจะหมายความว่าปัญหาการจราจร หรือรถติดใน กทม. ถือเป็นนโยบายอันดับต้นๆ ที่คนเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” จะต้องใส่ใจ แต่ดูเหมือนว่าในยุคปัจจุบันภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ศานิตย์ ยังไม่มี “แอ็คชั่น” ดูแลในเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แค่เพียง ”จัดทัพ” ใหม่ “คืนงาน” จราจรให้กับ พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น. จนเป็นที่มาของการร้องเรียนต่างๆ
เรื่องนี้จะมองว่าธรรมดา หรือไม่ธรรมดาสามารถมองได้ทั้งนั้น
เพราะบทบาทของ รรท.ผบช.น. คนนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องยอมรับว่า ให้ความสำคัญแต่ “งานรูทีน” ทั่วไป ส่วนงานจราจรยังให้ความสำคัญน้อยไปหน่อยซึ่งเหตุผลอาจจะมาจากการตกผลึกทางความคิดยังวนเวียนอยู่กับทัศนคติ “คนดีนำสังคม” ทั้งที่ในโลกความเป็นจริงยังมีปัญหาต่างๆอีกมากมาย
ผลของการ “ติติง” ให้ “ตั้งหลัก” กลับมาดู “หน้างาน” ในตำแหน่ง “แม่ทัพเมืองหลวง” ซึ่งมีอยู่มากมายทั้งแก้ปัญหาอาชญากรรม ดูแลความมั่นคง อารักขาบุคคลสำคัญและแน่นอนที่ทิ้งไปไม่ได้ก็คือปัญหาการจราจร
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองด้วยความเป็นธรรม มองแบบวิญญูชนทั่วไป การหยิบยกปัญหาจราจร ขั้นมาชัก “ใบเหลือง” และให้เวลาแก้ไขเพียง 2 เดือนก่อนชู “ใบแดง” นั้นมีข้อสังเกตว่า นอกจากตักเตือนในฐานะผู้บังคับบัญชา และในฐานะคนผ่านงานมาก่อน....
มีอะไรแอบแฝงกับการให้ใบเหลืองในครั้งนี้หรือไม่ !?
เพราะปัญหาการจราจรใน กทม.มันเกิดจากอะไรหลายๆคนย่อมรู้กันดี เป็นงานใหญ่เกินความสามารถของตำรวจ อีกทั้งทุกรัฐบาลที่ผ่านมารวมถึงนักการเมืองที่เข้าไปดูแล กทม. ไม่เคยมีใครสามารถแก้ปัญหานี้ได้ นั่นเพราะปัญหานี้สะสมมายาวนานทั้งในเรื่องผังเมือง อัตราถนนกับจำนวนรถที่ไม่สอดคล้อง ในส่วนของตำรวจจึงเป็นแค่การกวดขันวินัยการจราจร การอำนวยความสะดวก และบังคับใช้กฏหมาย
ยิ่งมาในช่วงนี้หาก ผบ.ตร.จะยกเรื่องร้องเรียนของประชาชน มาเป็นเหตุก็ต้องลงไปดูถึงปัจจัยต่างๆด้วยเพราะสภาพการจราจรที่ติดขัดอย่างมโหฬารนั้นนอกจาก 3-4 ปัจจัยที่กล่าวมายังมีเรื่องของการปิดถนน รื้อสะพาน เอาเฉพาะสะพานต่างระดับรัชโยธิน ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างชานเมืองกับชั้นใน กทม.แค่เพียงจุดเดียวก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังจุดอื่นๆ
หรือแม้แต่การผุดขึ้นของบรรดาห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด แหล่งชุมชนล้วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพการจราจรทั้งสิ้น หลากหลายปัจจัยและสารพัดปัญหาหากผลักภาระมาที่ตำรวจเพียงส่วนเดียวจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
คำสั่งให้รีบจัดการแก้ไขให้ปัญหารถติดลดลง 40-50 เปอร์เซ็นภายใน 2 เดือนและฝ่ายปฏิบัติต่อรองขอเป็น 3 เดือนจึงเข้าทำนองทำเรื่องดีๆให้กลายเป็น “เรื่องตลก” เพราะไม่มี (ตำรวจ) หน้าไหนจะทำได้ กระทั่งทุกรัฐบาลที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหาการจราจร สุดท้ายคือ แก้ไม่ได้ ไปไม่เป็น
ไม่เว้นรัฐบาลทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถือมาตรา 44 อยู่ในมือ มีอำนาจล้นฟ้า นายกรัฐมนตรี พูดได้ทุกเรื่องแต่เคยได้ยินท่านข้องแวะกับปัญหาจราจรใน กทม.ไหมล่ะ!?
นั่นเพราะมันยากจนเกินเยียวยา เว้นจากค่อยๆแก้ ค่อยๆเปลี่ยนพฤติกรรมคนเมืองด้วยระบบบริการขนส่งมวลชนต่างๆที่รัฐกำลังเร่งจัดทำรถไฟสายต่างๆรอบ กทม.และปริมณฑล เพราะตราบใดจำนวนรถยนต์สาธารณะ หรือส่วนบุคคลยังเพิ่มขึ้นทุกปี ปัญหาการจราจรมันไม่มีทางแก้ไขให้สะเด็ดน้ำได้
ดังนั้นโจทก์ของ ผบ.ตร.ที่ตั้งเอาไว้ และยึดถือตามนั้นอย่างจริงจัง
ก็ขอแนะนำให้ พล.ต.ท.ศานิตย์ เตรียมเก็บเสื้อผ้า ข้าวของย้ายที่ทำงานตั้งแต่วันนี้เลย
เว้นแต่การแก้ไขบางปัจจัยที่เกิดจากตำรวจ ซึ่งขอแนะนำให้ย้อนกลับไปช่วงการแต่งตั้งนายตำรวจระดับ ผกก.สมัย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เป็น ผบช.น.ได้หยิบประเด็นทุจริตป้ายโฆษณาจอแอลอีดี ตามสี่แยกต่างๆจนเป็นเหตุให้ย้ายนายตำรวจระดับ ผกก.แบบล้างบาง ”นครบาล” 50 กว่านายก่อนย้ายสมัครพรรคพวกที่ไม่มีภูมิความรู้ปัญหาของ กทม.เข้ามากินตำแหน่งสำคัญมากมาย
จุดนี้เองท่าน ผบ.ตร. หรือ พล.ต.ท.ศานิตย์ มองเห็นหรือไม่ว่า นี่ก็คือสาเหตุของปัญหาต่างๆทางด้านบริหารงาน รวมทั้งปัญหาการจราจรเพราะ “หน้างาน” ของนครบาล ต่างกับตำรวจภูธร อย่างสิ้นเชิง
การย้ายตำรวจที่คำนึงแค่คนของตัว หรือ “ใบสั่ง” จากผู้มีอำนาจจึงสะท้อนกลับมายังคุณภาพงาน…. ถามว่ากว่าจะทราบทุกตรอก ซอกซอยของพื้นที่ กว่าจะทราบปัญหาต่างๆของ กทม. ต้องใช้เวลานานกี่ปี นอกจากในพื้นที่ของตัวแล้วยังเชื่อมต่อถนนทุกสาย ทุกพื้นที่ยันไปถึงปริมณฑล หรือในส่วนของกองบัญชาการตำรวจภาค 1 “ผกก.บ้านนอก” ที่ย้ายเข้ากรุงจะต้องปรับตัว ใช้เวลานานขนาดไหนจึงจะเข้าใจพื้นที่ และมีประสิทธิภาพเป็นที่พอใจหรือไม่
ถ้า พล.ต.อ.จักรทิพย์ อยากให้ลูกน้องให้ความสำคัญงานจราจรมาในอันดับต้นๆ ก็อย่าลืมสั่งให้ รรท. ผบช.น. ประเมินผลงานนายตำรวจระดับ ผกก. รอง ผกก.และ สว.ที่รับผิดชอบงานจราจร เป็นกรณีพิเศษ หากพบว่ารายไหนถาม-ตอบไม่รู้เรื่อง ผลงานไม่เอาอ่าวต้องรีบปรับเปลี่ยนทันที
ยิ่งในช่วงนี้เป็นฤดูแห่งการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง รองผบก.- สารวัตร ก็สามารถยกเป็นเหตุเป็นผลให้บรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายได้เข้าใจถึงปัญหา เพราะหากยังเล่นบทพวกมากลากไปปัญหาใดๆไม่มีทางแก้ไขได้สำเร็จรวมไปถึงเรื่องจราจรในกทม.ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หาก พล.ต.ท.ศานิตย์ จะต้องประสบชะตากรรมด้วยข้อหาสุดยอดตลกนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เดิมพันนี้ส่งผลไปถึงการสิ้นสุดของงานจราจร ซึ่งกำกับดูแลโดยตำรวจ เพราะในยุคปฏิรูปที่กำลังนำพาสู่การเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างนั้น วันนี้มีเสียงเรียกร้องให้งานจราจรตำรวจนครบาล ทั้งหมดไปขึ้นตรงกับ กทม. และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง
ตามด้วยตำรวจทางหลวง ตำรวจจราจรทั่วประเทศ ที่อาจขึ้นตรงกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย หรือเทศบาล ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
และที่สุดความใหญ่โตเทอะทะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บวกกับความล้มเหลวที่ทุกฝ่ายร่วมกันชำเรา จะถึงวันล่มสลายในไม่ช้าไม่นานนี้ และค่อยๆย่อเล็กลงเหลือเพียงแค่เป็น “ยาม” รักษาความปลอดภัยให้กับชาวบ้านเท่านั้น.