**นอกจากจะไม่จบง่ายๆ ยังอาจจะทำให้เป็นเรื่องยากขึ้น สำหรับการชี้แจงผลการสอบสวนเรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของ“บิ๊กหมู”พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เมื่อวันศุกร์ที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา ข้อสงสัยและคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของโครงการดังกล่าวก่อนหน้านี้ แทบไม่ได้รับการไขข้อข้องใจสักเท่าใดนัก
ขณะเดียวกันยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ กับสิ่งที่ “บิ๊กหมู”ให้คำตอบแก่สังคมที่ว่า ไม่มีการทุจริตใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส
ทว่าความโปร่งใสที่ “บิ๊กหมู”ออกมาตอบ ไม่ได้รับการขยายความว่าโปร่งใสอย่างไร ไม่ได้มีการแจกแจงรายละเอียดรายรับ–รายจ่าย ครั้นพอถูกถามว่าจะสามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือไม่ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่คำตอบได้ที่รับกลับไม่ใช่การขานรับจาก ผบ.ทบ. แต่เป็นเชิงประชดประชัน ในลักษณะว่า
**จะเอาให้ตายกันอย่างนั้นหรือ ?
ทั้งที่จะเรียกได้ว่า บัญชีรายรับ–รายจ่าย แทบจะเป็นแก่นสำคัญที่จะสนับสนุนคำว่าโปร่งใส ของ“บิ๊กหมู”ให้มีน้ำหนักมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
คำชี้แจงของ“บิ๊กหมู”ในช่วงเที่ยงวันศุกร์ ยังมีความขัดแย้งในตัวเอง นั่นคือ การยืนยันว่ามีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน แต่กลับไม่สามารถให้รายละเอียด หรืออธิบายเรื่องการเรียกเก็บค่าหัวคิวจากเซียนพระรายหนึ่งได้ นอกจากโยนให้“บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. คนที่ออกมายอมรับว่ามีเรื่องนี้เป็นผู้ตอบเอง
เหตุใดจึงไม่ยืนยันเองเสียให้จบ ปล่อยให้เกิดเป็นเครื่องหมายคำถามคาใจสังคมว่า ตกลงมีการเรียกเก็บค่าหัวคิว จริงหรือไม่ และหากว่ามีจริง จะบอกว่าการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์โปร่งใสได้อย่างไร
**ขณะเดียวกัน“บิ๊กหมู”ยังปิดประตูตาย กรณีหากองค์กรต่างๆ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบ โดยอ้างว่า ไม่ใช่อำนาจ ทำให้เกิดความตะขิดตะขวงใจ
ในหมู่ประชาชนว่า นี่เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้อภิสิทธิ์เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่ ทั้งที่การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจะสามารถสร้างความสบายใจให้แก่ทุกฝ่ายได้ อย่างน้อยก็มากกว่าการให้คนกันเองสอบกันเอง เหตุนี้เองมันเลยทำให้เรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ไม่สามารถจบลงได้ หนำซ้ำยังเกิดเป็นประเด็นใหม่ๆ ขึ้นมาอีก
แน่นอนว่า ทางกองทัพเองก็มีความเป็นกังวล เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า มีฝ่ายต่อต้านบางกลุ่มพยายามจะนำประเด็นมาเขย่ารัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเกี่ยวพันกับสิ่งที่ประชาชนเทิดทูน และเงินบริจาคที่มาจากจิตศรัทธาประชาชน หากเกิดสิ่งมัวหมองอาจทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อรัฐบาลได้ แม้หน่วยงานหลักในการจัดทำคือ กองทัพบกก็ตาม
แต่การชี้แจงแค่เปลือกกว้างๆ ไม่กะเทาะเนื้อในให้เห็นนั้น ไม่เพียงพอสำหรับการทำให้ใครเชื่อได้ว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ เพราะเรื่องการใช้จ่ายต้องการรายละเอียดที่มากกว่านี้ ขณะเดียวกัน การเลือกให้คำตอบแบบนี้ยังสุ่มเสี่ยงจะเป็นการดูถูกความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะคนที่ให้การสนับสนุนกองทัพ และรัฐบาลมาตลอด จะเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในรัฐบาลที่เขาเชื่อว่าสุจริตมากกว่านักการเมือง
บางทีสมมุติให้มีการทุจริตจริง แล้วมีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เหมือนที่“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ย้ำมาตลอดว่า ทุกคนต้องเคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อาจเป็นการช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาล และกองทัพมากกว่าการชี้แจงว่า โปร่งใสแบบครอบจักรวาล แต่ไร้เหตุผลสนับสนุน เพราะอย่างน้อยจะแสดงให้เห็นว่า ยุคนี้ยุคปฏิรูป ต้องสะอาดทุกซอกทุกมุม
แม้แต่หากเกิดเรื่องกับคนกันเองก็ไม่มีละเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ต้องไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น มันเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ส่อเจตนาซุกขยะเอาไว้ใต้พรม ประชาชนย่อมเข้าใจได้ ตรงกันข้ามกลับยิ่งยกย่องสรรเสริญ “บิ๊กตู่”ที่ทำได้เหมือนกับที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ เป็นการสร้างบรรทัดฐานที่สูงเอาไว้ให้นักการเมืองที่จะเข้ามาในวันข้างหน้าต้องปฏิบัติตาม
**แต่หากต้องการจะให้จบแบบการชี้แจงเมื่อวันศุกร์ที่ 20 พ.ย. ก็ต้องยอมรับกับเสียงนินทา ดูถูก ที่เกิดขึ้นในสังคมให้ได้ว่า สุดท้ายก็ทำตัวไม่ต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่าไร โดยเฉพาะในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พอเกิดเรื่องอื้อฉาวในโครงการรับจำนำข้าว ก็ตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ขึ้นมาเป็นประธานตรวจสอบแก้เกี้ยว เล่นปาหี่ ไล่ตรวจโกดังข้าวต่างๆ ก่อนจะออกมาประทับตราสร้างความชอบธรรมว่า ไม่มีการโกง เพื่อให้กระแสมันซาลงไป
ทว่าที่ไหนได้ กลับถูกคนนินทาหนักขึ้นไปกว่าเดิมว่า ให้คนกันเองมาฟอกผิดกันเอง สุดท้ายบานปลายเรื่องไปถึง ป.ป.ช. มีการชี้มูลความผิดกรณีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มีความเสียหายในโครงการเกิดขึ้นเป็นแสนๆ ล้านบาท สวนทางกับผลการตรวจสอบของร.ต.อ.เฉลิมทั้งสิ้น
อย่าลืมว่า สิ่งที่อีกฝ่ายพยายามฉายภาพเพื่อเอามาตอกลิ่มคือ รัฐบาลกำลังเลือกปฏิบัติ หรือสองมาตรฐานกับพวกเขา อย่างกรณีโครงการรับจำนำข้าว ที่จะมีการเรียกค่าเสียหายจากยิ่งลักษณ์ การชี้แจงที่เกิดขึ้นจะว่าไปก็ยิ่งไปเข้าทางอีกฝั่งแบบเต็มบาทา
นี่คือสถานการณ์ที่หนักหน่วงที่สุดตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ เพราะมีเรื่องความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น และเกี่ยวพันกับบุคคลในรัฐบาล จำเป็นต้องการข้อสรุปที่มากกว่าคำว่า โปร่งใส ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่อีกฝ่ายจะสะสมเพื่อนำมาขย่มในวันข้างหน้าที่ทุกอย่างสุกงอม
**ขณะที่องค์กรอิสระต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ป.ป.ช. และ สตง. ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า มีมาตรฐานเดียว พร้อมจะเข้าไปตรวจสอบหากอยู่ในอำนาจหน้าที่ ต้องแสดงให้ทุกคนดูว่า ต่อให้เป็นรัฐบาลหรือทหารที่มีรถถัง มีปืน มีอำนาจ ก็พร้อมจะสาวไส้เพื่อให้ได้คำตอบมาอธิบายต่อสังคม
ขณะที่กองทัพเองแม้จะยืนยันแล้วว่า การดำเนินการดังกล่าวโปร่งใส แต่ในเมื่อสังคมยังมีความไม่สบายใจอยู่ ก็ควรต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเพื่อให้สิ้นกระแสความ ที่ความรู้สึกประชาชนจะเชื่อถือมากกว่านี้ อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าให้คนกันเองมาตรวจสอบกันเอง
**การเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบไม่ใช่การถูกไล่ล่า แต่เป็นการทำให้ความจริงกระจ่างชัด อย่าเอาอคติมาบังตา ทองแท้ไม่ต้องกลัวร้อน ยกเว้นทองปลอมที่กลัวไฟ
ขณะเดียวกันยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ กับสิ่งที่ “บิ๊กหมู”ให้คำตอบแก่สังคมที่ว่า ไม่มีการทุจริตใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส
ทว่าความโปร่งใสที่ “บิ๊กหมู”ออกมาตอบ ไม่ได้รับการขยายความว่าโปร่งใสอย่างไร ไม่ได้มีการแจกแจงรายละเอียดรายรับ–รายจ่าย ครั้นพอถูกถามว่าจะสามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือไม่ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่คำตอบได้ที่รับกลับไม่ใช่การขานรับจาก ผบ.ทบ. แต่เป็นเชิงประชดประชัน ในลักษณะว่า
**จะเอาให้ตายกันอย่างนั้นหรือ ?
ทั้งที่จะเรียกได้ว่า บัญชีรายรับ–รายจ่าย แทบจะเป็นแก่นสำคัญที่จะสนับสนุนคำว่าโปร่งใส ของ“บิ๊กหมู”ให้มีน้ำหนักมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
คำชี้แจงของ“บิ๊กหมู”ในช่วงเที่ยงวันศุกร์ ยังมีความขัดแย้งในตัวเอง นั่นคือ การยืนยันว่ามีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน แต่กลับไม่สามารถให้รายละเอียด หรืออธิบายเรื่องการเรียกเก็บค่าหัวคิวจากเซียนพระรายหนึ่งได้ นอกจากโยนให้“บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. คนที่ออกมายอมรับว่ามีเรื่องนี้เป็นผู้ตอบเอง
เหตุใดจึงไม่ยืนยันเองเสียให้จบ ปล่อยให้เกิดเป็นเครื่องหมายคำถามคาใจสังคมว่า ตกลงมีการเรียกเก็บค่าหัวคิว จริงหรือไม่ และหากว่ามีจริง จะบอกว่าการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์โปร่งใสได้อย่างไร
**ขณะเดียวกัน“บิ๊กหมู”ยังปิดประตูตาย กรณีหากองค์กรต่างๆ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบ โดยอ้างว่า ไม่ใช่อำนาจ ทำให้เกิดความตะขิดตะขวงใจ
ในหมู่ประชาชนว่า นี่เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้อภิสิทธิ์เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่ ทั้งที่การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจะสามารถสร้างความสบายใจให้แก่ทุกฝ่ายได้ อย่างน้อยก็มากกว่าการให้คนกันเองสอบกันเอง เหตุนี้เองมันเลยทำให้เรื่องการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ไม่สามารถจบลงได้ หนำซ้ำยังเกิดเป็นประเด็นใหม่ๆ ขึ้นมาอีก
แน่นอนว่า ทางกองทัพเองก็มีความเป็นกังวล เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า มีฝ่ายต่อต้านบางกลุ่มพยายามจะนำประเด็นมาเขย่ารัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเกี่ยวพันกับสิ่งที่ประชาชนเทิดทูน และเงินบริจาคที่มาจากจิตศรัทธาประชาชน หากเกิดสิ่งมัวหมองอาจทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อรัฐบาลได้ แม้หน่วยงานหลักในการจัดทำคือ กองทัพบกก็ตาม
แต่การชี้แจงแค่เปลือกกว้างๆ ไม่กะเทาะเนื้อในให้เห็นนั้น ไม่เพียงพอสำหรับการทำให้ใครเชื่อได้ว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ เพราะเรื่องการใช้จ่ายต้องการรายละเอียดที่มากกว่านี้ ขณะเดียวกัน การเลือกให้คำตอบแบบนี้ยังสุ่มเสี่ยงจะเป็นการดูถูกความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะคนที่ให้การสนับสนุนกองทัพ และรัฐบาลมาตลอด จะเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในรัฐบาลที่เขาเชื่อว่าสุจริตมากกว่านักการเมือง
บางทีสมมุติให้มีการทุจริตจริง แล้วมีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม เหมือนที่“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ย้ำมาตลอดว่า ทุกคนต้องเคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อาจเป็นการช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาล และกองทัพมากกว่าการชี้แจงว่า โปร่งใสแบบครอบจักรวาล แต่ไร้เหตุผลสนับสนุน เพราะอย่างน้อยจะแสดงให้เห็นว่า ยุคนี้ยุคปฏิรูป ต้องสะอาดทุกซอกทุกมุม
แม้แต่หากเกิดเรื่องกับคนกันเองก็ไม่มีละเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ต้องไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น มันเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ส่อเจตนาซุกขยะเอาไว้ใต้พรม ประชาชนย่อมเข้าใจได้ ตรงกันข้ามกลับยิ่งยกย่องสรรเสริญ “บิ๊กตู่”ที่ทำได้เหมือนกับที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ เป็นการสร้างบรรทัดฐานที่สูงเอาไว้ให้นักการเมืองที่จะเข้ามาในวันข้างหน้าต้องปฏิบัติตาม
**แต่หากต้องการจะให้จบแบบการชี้แจงเมื่อวันศุกร์ที่ 20 พ.ย. ก็ต้องยอมรับกับเสียงนินทา ดูถูก ที่เกิดขึ้นในสังคมให้ได้ว่า สุดท้ายก็ทำตัวไม่ต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่าไร โดยเฉพาะในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พอเกิดเรื่องอื้อฉาวในโครงการรับจำนำข้าว ก็ตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ขึ้นมาเป็นประธานตรวจสอบแก้เกี้ยว เล่นปาหี่ ไล่ตรวจโกดังข้าวต่างๆ ก่อนจะออกมาประทับตราสร้างความชอบธรรมว่า ไม่มีการโกง เพื่อให้กระแสมันซาลงไป
ทว่าที่ไหนได้ กลับถูกคนนินทาหนักขึ้นไปกว่าเดิมว่า ให้คนกันเองมาฟอกผิดกันเอง สุดท้ายบานปลายเรื่องไปถึง ป.ป.ช. มีการชี้มูลความผิดกรณีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มีความเสียหายในโครงการเกิดขึ้นเป็นแสนๆ ล้านบาท สวนทางกับผลการตรวจสอบของร.ต.อ.เฉลิมทั้งสิ้น
อย่าลืมว่า สิ่งที่อีกฝ่ายพยายามฉายภาพเพื่อเอามาตอกลิ่มคือ รัฐบาลกำลังเลือกปฏิบัติ หรือสองมาตรฐานกับพวกเขา อย่างกรณีโครงการรับจำนำข้าว ที่จะมีการเรียกค่าเสียหายจากยิ่งลักษณ์ การชี้แจงที่เกิดขึ้นจะว่าไปก็ยิ่งไปเข้าทางอีกฝั่งแบบเต็มบาทา
นี่คือสถานการณ์ที่หนักหน่วงที่สุดตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ เพราะมีเรื่องความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น และเกี่ยวพันกับบุคคลในรัฐบาล จำเป็นต้องการข้อสรุปที่มากกว่าคำว่า โปร่งใส ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่อีกฝ่ายจะสะสมเพื่อนำมาขย่มในวันข้างหน้าที่ทุกอย่างสุกงอม
**ขณะที่องค์กรอิสระต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ป.ป.ช. และ สตง. ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า มีมาตรฐานเดียว พร้อมจะเข้าไปตรวจสอบหากอยู่ในอำนาจหน้าที่ ต้องแสดงให้ทุกคนดูว่า ต่อให้เป็นรัฐบาลหรือทหารที่มีรถถัง มีปืน มีอำนาจ ก็พร้อมจะสาวไส้เพื่อให้ได้คำตอบมาอธิบายต่อสังคม
ขณะที่กองทัพเองแม้จะยืนยันแล้วว่า การดำเนินการดังกล่าวโปร่งใส แต่ในเมื่อสังคมยังมีความไม่สบายใจอยู่ ก็ควรต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเพื่อให้สิ้นกระแสความ ที่ความรู้สึกประชาชนจะเชื่อถือมากกว่านี้ อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าให้คนกันเองมาตรวจสอบกันเอง
**การเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบไม่ใช่การถูกไล่ล่า แต่เป็นการทำให้ความจริงกระจ่างชัด อย่าเอาอคติมาบังตา ทองแท้ไม่ต้องกลัวร้อน ยกเว้นทองปลอมที่กลัวไฟ