น.พ.โชติช่วง ชุตินธร
9/11/2015
UN สหประชาชาติกำลังจัดประชุมเกี่ยวกับเรื่องสนธิสัญญาโลกร้อน Treaty on Global Warming or Climate Change วันที่ 30/10/58—11/11/58 ที่กรุง ปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส เป็นการหลอกลวงและบิดเบือนข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง
สิบหก (18) ปี ที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น Lord Monckton แถลงในที่ประชุมสหประชาชาติ U.N. Climate Change -Doha เมื่อ ธันวาคม 2555 Link 1, Link 2 www.wattsupwiththat.com
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์อเมริกา กว่า 31,000 คน ยืนยันว่าโลกไม่ได้ร้อนขึ้นจาก CO2 จากฝีมือมนุษย์ ปัจจุบันเราไม่มีหลักฐานยืนยันว่าภาวะโลกร้อนเป็นจริง หรือโลกร้อนเพราะ CO2 โดยที่เกิดจากมนุษย์ เพราะฉะนั้นเรา ไม่มีปัญหา โลกร้อน www.petitionproject.org
Climate-gate (ไคลเมทเกต) คือการเปิดเผยการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฏษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์
ใน ปี 2552 มีข่าวไคลเมทเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณ ของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิด เผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮค (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิด จรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือน เหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติ ร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คน ทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อลดก๊าซคาร์บอนหรือชดเชยกับ การปล่อยก๊าซคาร์บอน (carbon tax for carbon emissions) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูล ที่ผิดๆ และต้องเสียเงินมหาศาล
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 18 ปีที่ผ่านมานี้ โลกไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 - 2 องศาฟาเรนไฮด์ในอีก 100 ปีข้างหน้า www.cfact.org
ในยุคกลางของประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Medieval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบันซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่าเป็นความจริง สมัยนั้นยังไม่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมยังไม่มีโรงงานปล่อยก๊าซคาร์บอน ไม่มีรถยนต์ ไม่มีการใช้เชื้อเพลิงที่มาจากถ่านหิน แต่โลกก็มีภาวะร้อนกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการที่โลกร้อนขึ้นหรือเย็นลง เป็นเพราะความ
เปลี่ยนแปลงตามวงจรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ เช่น sun spots or solar flares ไม่เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือ co2 ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เราถูกหลอกว่าโลกร้อนจะทำให้หมีโพลาน้อยลงหรือสูญพันธุ์ จริงๆแล้วมีงานวิจัยรายงานว่า 40 ปี ที่ผ่านมาหมีโพลาไม่ได้น้อยลง แต่กลับมีมากขึ้น
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลัง จะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่าง ๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของ ธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice Link 1, Link 2, Link 3, Link 4, Link 5; See Google: Antarctic Gaining Ice—Telegraph)
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้าเราไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา (Treaty on Global Warming) กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน อ่านบทความ “โลกร้อนจริงไหม” ของ น.พ.โชติช่วง ได้ที่ www.doctorfreedom.com ประมาณ 6 ปีก่อน ผู้เขียนเขียนบทความนี้ (หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ วันที่ 24 ธันวาคม 2552 และ Manager Online วันที่ 23 ธันวาคม 2552) คาดการณ์ไว้ว่าสนธิสัญญาโลกร้อน ทำให้เกิดการเก็บภาษีคาร์บอนและ การเสียภาษีคาร์บอนจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพงขึ้นและสิ่งของจะแพง ขึ้นค่าครองชีพสูงขึ้น คนตกงานมากขึ้น ปัจจุบัน เป็นจริงแล้ว และอีกหลายๆอย่างที่วิเคราะห์ล่วงหน้าไว้กำลังจะเกิดขึ้นตามมา
1) E.U. ตกลงที่จะเก็บภาษีคาร์บอนกับเครื่องบินที่บินเข้า E.U. ทำให้ค่าเครื่องบินแพงขึ้นแต่ถูกเลื่อนไปเพราะหลายประเทศประท้วง 2)ประเทศไทยก็เตรียมจะขึ้นภาษีรถยนต์โดยการเก็บภาษีคาร์บอนแต่ชะงักชั่วคราวเพราะเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2011 3)ส่วนประเทศ Australia ตั้งแต่วันที 1 กรกฎาคม 2012 เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนกับ 300 บริษัท (โรงงานอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก เหมืองแร่ สายการบิน และอุตสาหกรรมผลิตพลังงานเชื้อเพลิงเป็นต้น) การเก็บภาษีคาร์บอนนี้Tony Abbott หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าวิธีนี้แพงและไม่จำเป็นและจะทำให้คนตกงานและค่า ครองชีพจะสูงขึ้นและไม่ได้ช่วยสิ่งแวดล้อม นายโทนี่ให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2013 นี้เขาจะคว่ำภาษีคาร์บอนอย่างแน่นอน ต่อมาเมื่อ นายโทนี่ แอ็บบ็อตชนะเลือกตั้งแล้วท่านก็ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้คือ คว่ำกฎหมายการเก็บภาษีคาร์บอน และท่านยังแถลงว่าทำให้แม่บ้านชาวออสเตรเลียประหยัดเงินครอบครัวละ $550 ต่อปี (See Google:Tony Abbott repealing carbon tax)
การประชุมที่ Warsaw, Doha, Mexico, Copenhagen และ Kyoto ต่างก็ มีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้ง ”รัฐบาลโลก” New World Order แบบเผด็จการด้วยการเก็บภาษีคาร์บอนทั่วโลกคือภาษีโลก world tax
สนธิสัญญาโลกร้อน (Treaty on Global Warming) มี อำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลาย และเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ”รัฐบาลโลก” ซึ่งเป็นเผด็จการอย่างแน่นอน ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย (เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 สมัยรัฐบาล นายกยิ่งลักษณ์ จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะขาดการตรวสจสอบของรัฐสภาและประชาชน )
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์จะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์ทำให้คาร์บอนหรือก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ แต่มีหลักฐานจากงานวิจัยเพิ่มขึ้นมากมายโดยตลอดยืนยันว่าโลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง เช่น งานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก ก๊าซ CO2 และก๊าซเรือนกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมิจะ เพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตก
ประเทศไทยไม่ควรร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับ “โลกร้อน” เพราะเรื่อง “โลกร้อน”ไม่ใช่ปัญหาเพราะหากประเทศไทยร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา และเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเรา
การเก็บภาษีคาร์บอนคือการหลอกลวงและขูดรีดเอาเงินภาษีจากประชาชนโดยอ้างว่า จะเอาเงินภาษีคาร์บอนไปแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (ภาวะโลกร้อน) ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มีปัญหา 18 ปีที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น www.wattsupwiththat.com
น.พ.โชติช่วง ชุตินธร (อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม) ( Dr.Chokchuang Chutinaton )
อ้างอิง : www.doctorfreedom.com www.cfact.org ; www.climatedepot.com www.scienceandpublicpolicy.org www.wattsupwiththat.com See Google and YouTube : Lord Christopher Monckton, Marc Morano and Dr. Richard Lindzen
จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี
วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เรื่อง (1) โปรดอย่าให้ประเทศไทยร่วมลงนามในสนธิสัญญาอันตรายเรื่องโลกร้อน ที่ กรุงปารีส
(2) โปรดระงับการขึ้นภาษีรถยนต์ (ภาษีคาร์บอน ) เพราะถูกหลอกว่าโลกร้อน
เรียน ฯพณฯนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประธานสภา) และตัวแทนประเทศไทยที่ถูกส่งไปลงนามในสนธิสัญญาที่อันตรายต่อประเทศชาติเรื่องโลกร้อนที่กรุงปารีส
สิ่งที่แนบมาด้วย: บทความเรื่อง โลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง (มีวาระซ่อนเร้น) โดย น.พ.โชติข่วง ชุตินธร
กระผมและประชาชนที่ตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอเรียกร้อง ขอให้ท่านโปรดระงับการขึ้นภาษีรถยนต์ ที่จะเรียกเก็บเพิ่ม ในเดือน มกราคม พ.ศ. 2559 เนื่องจากเป็นการเก็บภาษีคาร์บอนด์ Carbon Tax การเชื่อว่าโลกร้อนขึ้นเพราะก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ CO2 เพราะฝีมือมนุษย์ ทำให้เราต้องเสียงบประมาณจำนวนมหาศาลไปกับการแก้ “ปัญหา”โลกร้อน ซึ่งไม่มีปัญหา และ ไม่ใช่ ปัญหา เราไม่ควรถูกหลอก!!
(ในอนาคตภาษีคาร์บอนจากรายการอื่นๆจะถูกเรียกเก็บตามมาเป็นแถว เช่นจากสายการบินต่างๆและน้ำมันและค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้นเพราะผลิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือ fossil fuels)
มีนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาจำนวนมากกว่า 31,000 คนลงนามคัดค้านและประท้วงว่า เรื่อง สภาวะโลกร้อน หรือ โลกร้อนขึ้นจากก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ CO2 เพราะฝีมือมนุษย์นั้น เป็นเรื่องไม่จริงเพราะขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางตรงกันข้าม มีหลักฐานมากมายทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ว่าการเพิ่ม CO2 ในอากาศ จะเป็นผลดีต่อพืชต่างๆ และสิ่งแวดล้อม (www.petitionproject.org)
ปัจจุบันภาวะเศรฐกิจไม่สู้ดี รายได้ถดถอยและค่าอาหารและค่าครองชีพแพงขึ้นและค่าเงินเฟ้อก็สูงขึ้นแล้วรัฐบาลยังจะซ้ำเติมความทุกข์เรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรถยนต์ภาษีคาร์บอน (ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็จะแพงขึ้น) ซึ่งภาษีคาร์บอน เป็นเรื่องหลอกลวงบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ที่บิดเบือนเป็นเท็จ
ดังนั้นกระผมและประชาชนใคร่ขอให้ท่านนายกกรุณาระงับการขึ้นภาษีรถยนต์ หรือการเก็บภาษีคาร์บอนไว้ก่อนและต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดจนเป็นที่แน่ชัดกว่านี้ อย่าเพิ่งด่วนทำตาม สหประชาชาติที่หลอกว่าโลกร้อนขึ้นเพราะฝีมือมนุษย์ เป็นการหลอกลวงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยไม่ควรร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับ “โลกร้อน” Treaty or Agreement on Global Warming or Climate Change เพราะ เรื่อง “โลกร้อน”ไม่ใช่ปัญหาเพราะหากประเทศไทยร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของไทยและเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเราด้วย
สนธิสัญญาโลกร้อน (Climate Change) มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกเป็นทาสหรือตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ”รัฐบาลโลก” New World Order ซึ่งเป็นเผด็จการอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษีได้ตามอำเภอใจ (เช่น ภาษีคาร์บอน)
จึงกราบเรียนมาด้วยความเคารพและขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
น.พ.โชติช่วง ชุตินธร
อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม
chok_c@hotmail.com
9/11/2015
UN สหประชาชาติกำลังจัดประชุมเกี่ยวกับเรื่องสนธิสัญญาโลกร้อน Treaty on Global Warming or Climate Change วันที่ 30/10/58—11/11/58 ที่กรุง ปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส เป็นการหลอกลวงและบิดเบือนข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง
สิบหก (18) ปี ที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น Lord Monckton แถลงในที่ประชุมสหประชาชาติ U.N. Climate Change -Doha เมื่อ ธันวาคม 2555 Link 1, Link 2 www.wattsupwiththat.com
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์อเมริกา กว่า 31,000 คน ยืนยันว่าโลกไม่ได้ร้อนขึ้นจาก CO2 จากฝีมือมนุษย์ ปัจจุบันเราไม่มีหลักฐานยืนยันว่าภาวะโลกร้อนเป็นจริง หรือโลกร้อนเพราะ CO2 โดยที่เกิดจากมนุษย์ เพราะฉะนั้นเรา ไม่มีปัญหา โลกร้อน www.petitionproject.org
Climate-gate (ไคลเมทเกต) คือการเปิดเผยการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฏษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์
ใน ปี 2552 มีข่าวไคลเมทเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณ ของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิด เผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮค (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิด จรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือน เหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติ ร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คน ทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อลดก๊าซคาร์บอนหรือชดเชยกับ การปล่อยก๊าซคาร์บอน (carbon tax for carbon emissions) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูล ที่ผิดๆ และต้องเสียเงินมหาศาล
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 18 ปีที่ผ่านมานี้ โลกไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 - 2 องศาฟาเรนไฮด์ในอีก 100 ปีข้างหน้า www.cfact.org
ในยุคกลางของประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Medieval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบันซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่าเป็นความจริง สมัยนั้นยังไม่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมยังไม่มีโรงงานปล่อยก๊าซคาร์บอน ไม่มีรถยนต์ ไม่มีการใช้เชื้อเพลิงที่มาจากถ่านหิน แต่โลกก็มีภาวะร้อนกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการที่โลกร้อนขึ้นหรือเย็นลง เป็นเพราะความ
เปลี่ยนแปลงตามวงจรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ เช่น sun spots or solar flares ไม่เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือ co2 ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เราถูกหลอกว่าโลกร้อนจะทำให้หมีโพลาน้อยลงหรือสูญพันธุ์ จริงๆแล้วมีงานวิจัยรายงานว่า 40 ปี ที่ผ่านมาหมีโพลาไม่ได้น้อยลง แต่กลับมีมากขึ้น
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลัง จะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่าง ๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของ ธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice Link 1, Link 2, Link 3, Link 4, Link 5; See Google: Antarctic Gaining Ice—Telegraph)
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้าเราไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา (Treaty on Global Warming) กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน อ่านบทความ “โลกร้อนจริงไหม” ของ น.พ.โชติช่วง ได้ที่ www.doctorfreedom.com ประมาณ 6 ปีก่อน ผู้เขียนเขียนบทความนี้ (หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ วันที่ 24 ธันวาคม 2552 และ Manager Online วันที่ 23 ธันวาคม 2552) คาดการณ์ไว้ว่าสนธิสัญญาโลกร้อน ทำให้เกิดการเก็บภาษีคาร์บอนและ การเสียภาษีคาร์บอนจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพงขึ้นและสิ่งของจะแพง ขึ้นค่าครองชีพสูงขึ้น คนตกงานมากขึ้น ปัจจุบัน เป็นจริงแล้ว และอีกหลายๆอย่างที่วิเคราะห์ล่วงหน้าไว้กำลังจะเกิดขึ้นตามมา
1) E.U. ตกลงที่จะเก็บภาษีคาร์บอนกับเครื่องบินที่บินเข้า E.U. ทำให้ค่าเครื่องบินแพงขึ้นแต่ถูกเลื่อนไปเพราะหลายประเทศประท้วง 2)ประเทศไทยก็เตรียมจะขึ้นภาษีรถยนต์โดยการเก็บภาษีคาร์บอนแต่ชะงักชั่วคราวเพราะเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2011 3)ส่วนประเทศ Australia ตั้งแต่วันที 1 กรกฎาคม 2012 เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนกับ 300 บริษัท (โรงงานอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก เหมืองแร่ สายการบิน และอุตสาหกรรมผลิตพลังงานเชื้อเพลิงเป็นต้น) การเก็บภาษีคาร์บอนนี้Tony Abbott หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าวิธีนี้แพงและไม่จำเป็นและจะทำให้คนตกงานและค่า ครองชีพจะสูงขึ้นและไม่ได้ช่วยสิ่งแวดล้อม นายโทนี่ให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2013 นี้เขาจะคว่ำภาษีคาร์บอนอย่างแน่นอน ต่อมาเมื่อ นายโทนี่ แอ็บบ็อตชนะเลือกตั้งแล้วท่านก็ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้คือ คว่ำกฎหมายการเก็บภาษีคาร์บอน และท่านยังแถลงว่าทำให้แม่บ้านชาวออสเตรเลียประหยัดเงินครอบครัวละ $550 ต่อปี (See Google:Tony Abbott repealing carbon tax)
การประชุมที่ Warsaw, Doha, Mexico, Copenhagen และ Kyoto ต่างก็ มีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้ง ”รัฐบาลโลก” New World Order แบบเผด็จการด้วยการเก็บภาษีคาร์บอนทั่วโลกคือภาษีโลก world tax
สนธิสัญญาโลกร้อน (Treaty on Global Warming) มี อำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลาย และเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ”รัฐบาลโลก” ซึ่งเป็นเผด็จการอย่างแน่นอน ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย (เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 สมัยรัฐบาล นายกยิ่งลักษณ์ จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะขาดการตรวสจสอบของรัฐสภาและประชาชน )
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์จะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์ทำให้คาร์บอนหรือก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ แต่มีหลักฐานจากงานวิจัยเพิ่มขึ้นมากมายโดยตลอดยืนยันว่าโลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง เช่น งานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก ก๊าซ CO2 และก๊าซเรือนกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมิจะ เพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตก
ประเทศไทยไม่ควรร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับ “โลกร้อน” เพราะเรื่อง “โลกร้อน”ไม่ใช่ปัญหาเพราะหากประเทศไทยร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา และเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเรา
การเก็บภาษีคาร์บอนคือการหลอกลวงและขูดรีดเอาเงินภาษีจากประชาชนโดยอ้างว่า จะเอาเงินภาษีคาร์บอนไปแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (ภาวะโลกร้อน) ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มีปัญหา 18 ปีที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น www.wattsupwiththat.com
น.พ.โชติช่วง ชุตินธร (อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม) ( Dr.Chokchuang Chutinaton )
อ้างอิง : www.doctorfreedom.com www.cfact.org ; www.climatedepot.com www.scienceandpublicpolicy.org www.wattsupwiththat.com See Google and YouTube : Lord Christopher Monckton, Marc Morano and Dr. Richard Lindzen
จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี
วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เรื่อง (1) โปรดอย่าให้ประเทศไทยร่วมลงนามในสนธิสัญญาอันตรายเรื่องโลกร้อน ที่ กรุงปารีส
(2) โปรดระงับการขึ้นภาษีรถยนต์ (ภาษีคาร์บอน ) เพราะถูกหลอกว่าโลกร้อน
เรียน ฯพณฯนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประธานสภา) และตัวแทนประเทศไทยที่ถูกส่งไปลงนามในสนธิสัญญาที่อันตรายต่อประเทศชาติเรื่องโลกร้อนที่กรุงปารีส
สิ่งที่แนบมาด้วย: บทความเรื่อง โลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง (มีวาระซ่อนเร้น) โดย น.พ.โชติข่วง ชุตินธร
กระผมและประชาชนที่ตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอเรียกร้อง ขอให้ท่านโปรดระงับการขึ้นภาษีรถยนต์ ที่จะเรียกเก็บเพิ่ม ในเดือน มกราคม พ.ศ. 2559 เนื่องจากเป็นการเก็บภาษีคาร์บอนด์ Carbon Tax การเชื่อว่าโลกร้อนขึ้นเพราะก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ CO2 เพราะฝีมือมนุษย์ ทำให้เราต้องเสียงบประมาณจำนวนมหาศาลไปกับการแก้ “ปัญหา”โลกร้อน ซึ่งไม่มีปัญหา และ ไม่ใช่ ปัญหา เราไม่ควรถูกหลอก!!
(ในอนาคตภาษีคาร์บอนจากรายการอื่นๆจะถูกเรียกเก็บตามมาเป็นแถว เช่นจากสายการบินต่างๆและน้ำมันและค่าไฟฟ้าจะแพงขึ้นเพราะผลิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือ fossil fuels)
มีนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาจำนวนมากกว่า 31,000 คนลงนามคัดค้านและประท้วงว่า เรื่อง สภาวะโลกร้อน หรือ โลกร้อนขึ้นจากก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ CO2 เพราะฝีมือมนุษย์นั้น เป็นเรื่องไม่จริงเพราะขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางตรงกันข้าม มีหลักฐานมากมายทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ว่าการเพิ่ม CO2 ในอากาศ จะเป็นผลดีต่อพืชต่างๆ และสิ่งแวดล้อม (www.petitionproject.org)
ปัจจุบันภาวะเศรฐกิจไม่สู้ดี รายได้ถดถอยและค่าอาหารและค่าครองชีพแพงขึ้นและค่าเงินเฟ้อก็สูงขึ้นแล้วรัฐบาลยังจะซ้ำเติมความทุกข์เรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรถยนต์ภาษีคาร์บอน (ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็จะแพงขึ้น) ซึ่งภาษีคาร์บอน เป็นเรื่องหลอกลวงบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ที่บิดเบือนเป็นเท็จ
ดังนั้นกระผมและประชาชนใคร่ขอให้ท่านนายกกรุณาระงับการขึ้นภาษีรถยนต์ หรือการเก็บภาษีคาร์บอนไว้ก่อนและต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดจนเป็นที่แน่ชัดกว่านี้ อย่าเพิ่งด่วนทำตาม สหประชาชาติที่หลอกว่าโลกร้อนขึ้นเพราะฝีมือมนุษย์ เป็นการหลอกลวงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยไม่ควรร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับ “โลกร้อน” Treaty or Agreement on Global Warming or Climate Change เพราะ เรื่อง “โลกร้อน”ไม่ใช่ปัญหาเพราะหากประเทศไทยร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของไทยและเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเราด้วย
สนธิสัญญาโลกร้อน (Climate Change) มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกเป็นทาสหรือตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ”รัฐบาลโลก” New World Order ซึ่งเป็นเผด็จการอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษีได้ตามอำเภอใจ (เช่น ภาษีคาร์บอน)
จึงกราบเรียนมาด้วยความเคารพและขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
น.พ.โชติช่วง ชุตินธร
อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม
chok_c@hotmail.com