ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องที่ นายนพดล ธรรมวัฒนะ ฟ้องแพทยสภา เพื่อขอให้ศาลพิพากษา หรือแก้คำสั่งแพทยสภา ที่ 2/2558 รวมทั้งสั่งให้แพทยสภาพิจารณามีคำสั่งใหม่ว่า พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เป็นผู้ประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ฝ่าฝืนข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 15 ข้อ25 และข้อ 26 และลงโทษโดยการเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ทั้งนี้คดีดังกล่าว สืบเนื่องแพทยสภาได้มีคำสั่ง 2/2558 ลงโทษภาคทัณฑ์ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ กรณีร่วมผ่าชันสูตรศพ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ พี่ชายของ นายนพดล แล้วออกมาให้ความเห็นว่านายห้างทองถูกฆาตกรรม ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย โดยแพทยสภาเห็นว่า การดำเนินการผ่าชันสูตรศพของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ กระทำไม่ครบทุกขั้นตอน ขาดหลักฐานสำคัญทางการแพทย์ที่จะสนับสนุนให้ความเห็น รวมทั้งการจัดการศพหลังผ่าชันสูตรศพเสร็จ กระทำไม่เรียบร้อย ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ประกอบกับมีการให้ข่าว หรือข้อมูลต่อสื่อมวลชนไม่เหมาะสมเกินบทบาทหน้าที่แพทย์ เป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ผิดข้อบังคับแพทยสภา จึงมีคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ แต่นายนพดล เห็นว่า คำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ เบาเกินไปไม่เหมาะสมกับการกระทำผิดของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล
ส่วนที่ศาลไม่รับฟ้อง ระบุว่า แม้คดีดังล่าวจะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ( 1) ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่ผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่บุคคลใดก็ได้ที่เห็นมีการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วจะนำคดีมาฟ้องได้ แต่ต้องเป็นบุคคลที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย อีกทั้งคำบังคับคดีของศาล จะต้องเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ แม้คดีนี้ นายนพดล จะเป็นผู้ร้องเรียนต่อแพทยสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ แต่การที่แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่มีหน้าที่การควบคุมตรวจสอบจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม จะพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดสถานใด เพียงใด ถือเป็นดุลยพินิจของแพทยสภาที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี อีกทั้งการที่แพทยสภา จะพิจารณาลงโทษ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ตามคำขอของนายนพดล ก็ไม่ได้มีผลโดยตรงในการแก้ไขหรือบรรเทาความเสียหายที่นายนพดลได้รับจากการกระทำของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้แต่อย่างใด
คำขอของนายนพดล จึงเป็นคำขอที่ศาลไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ได้ นายนพดล จึงไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหายที่มีสิทธิจะฟ้องคดีตามมาตรา 42 วรรคหนึ่งของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง 2542
ทั้งนี้คดีดังกล่าว สืบเนื่องแพทยสภาได้มีคำสั่ง 2/2558 ลงโทษภาคทัณฑ์ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ กรณีร่วมผ่าชันสูตรศพ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ พี่ชายของ นายนพดล แล้วออกมาให้ความเห็นว่านายห้างทองถูกฆาตกรรม ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย โดยแพทยสภาเห็นว่า การดำเนินการผ่าชันสูตรศพของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ กระทำไม่ครบทุกขั้นตอน ขาดหลักฐานสำคัญทางการแพทย์ที่จะสนับสนุนให้ความเห็น รวมทั้งการจัดการศพหลังผ่าชันสูตรศพเสร็จ กระทำไม่เรียบร้อย ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ประกอบกับมีการให้ข่าว หรือข้อมูลต่อสื่อมวลชนไม่เหมาะสมเกินบทบาทหน้าที่แพทย์ เป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ผิดข้อบังคับแพทยสภา จึงมีคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ แต่นายนพดล เห็นว่า คำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ เบาเกินไปไม่เหมาะสมกับการกระทำผิดของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล
ส่วนที่ศาลไม่รับฟ้อง ระบุว่า แม้คดีดังล่าวจะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ( 1) ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่ผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่รัฐกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่บุคคลใดก็ได้ที่เห็นมีการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วจะนำคดีมาฟ้องได้ แต่ต้องเป็นบุคคลที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย อีกทั้งคำบังคับคดีของศาล จะต้องเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ แม้คดีนี้ นายนพดล จะเป็นผู้ร้องเรียนต่อแพทยสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ แต่การที่แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่มีหน้าที่การควบคุมตรวจสอบจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม จะพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดสถานใด เพียงใด ถือเป็นดุลยพินิจของแพทยสภาที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี อีกทั้งการที่แพทยสภา จะพิจารณาลงโทษ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ตามคำขอของนายนพดล ก็ไม่ได้มีผลโดยตรงในการแก้ไขหรือบรรเทาความเสียหายที่นายนพดลได้รับจากการกระทำของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้แต่อย่างใด
คำขอของนายนพดล จึงเป็นคำขอที่ศาลไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ได้ นายนพดล จึงไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหายที่มีสิทธิจะฟ้องคดีตามมาตรา 42 วรรคหนึ่งของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง 2542