ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - 5 ปีที่ผ่านมาเหตุการณ์ลอบวางระเบิด พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.บันนังสตา จ.ยะลา เชื่อว่ายังคงติดตาตรึงใจคนไทยทกคนที่ได้ติดตามข่าวสถานการณ์ภาคใต้ หลังผู้กำกับกระดูกเหล็กจบชีวิตลงแล้วเรื่องราวต่างๆของเขาจึงถูกนำมาเปิดเผย
และตอนหนึ่งเมื่อ “ผู้กำกับสมเพียร” ขอเข้าพบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในระหว่างนั้น ขอความกรุณาย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยงเพื่อกลับไปใช้ชีวิตครอบครัวด้วยเหตุผลเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมามากและเหลืออายุราชการอีกเพียงปีเดียว
จะด้วยขั้นตอนของการบริหารงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือไรไม่ทราบได้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา มิได้รับพิจาณาตามคำขอร้องต้องกลับไปเป็นเสือเฒ่าสู้รบกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายกระทั่งพลาดท่าถูกวางระเบิดเสียชีวิตได้รับการปูนบำเน็จความชอบเลื่อนชั้นเป็นพล.ต.อ.ท่ามกลางความเศร้าโสกเสียใจของครอบครัว และความสลดหดหู่จากประชาชนคนไทยที่ทราบวีรกรรม รวมทั้งวิบากกรรมของท่าน
ปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ชื่อของ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา วีระบุรุษจากบันนังสตา ถูกหยิบยกขึ้นมาอีก แต่คราวนี้มีการเทียบเคียงบางฉากบางตอนจากปากของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีต รองผบช.ภ.8 ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ที่ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่โด่งดังไปทั่วโลก
และก่อนเจาะลึกไปถึงปัญหาที่คณะทำงานคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา กำลังเผชิญอยู่ขอสรุปปฏิบัติการในรอบ 5 เดือนของคณะทำงานนี้พอสังเขป กล่าวคือ เมื่อประเทศไทย ถูกต่างชาติจับตากรณีการค้ามนุษย์จนเป็นที่มาของมาตรการกีดกันทางการค้าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงประกาศให้วาระแห่งชาติ รณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา และมอบหมายให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ในขณะนั้น เป็นผู้รับผิดชอบซึ่งต่อมามีการตั้งทีมสอบสวนขึ้นโดยมี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รอง ผบช.ภ.ภาค 8 นายตำรวจฝีมือดี มีความเชี่ยวชาญด้านการสอบสวนและมีประวัติความประพฤติเป็นที่ยอมรับต่อผู้บังคับบัญขา และผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นส่วนใหญ่
การสอบสวนขยายวงไปถึงตัวการระดับต่างๆ จาก 10 เป็น 100 จนกระทั่งปิดคดีมีผุ้ต้องหาที่พนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานจนออกหมายจับได้ทั้งหมด 153 ราย เข้ามอบตัวและถูกจับกุม 91 ราย ในจำนวนนี้มีทั้งพลเรือน นักการเมืองท้องถิ่น คหบดี ข้าราชการตำรวจ 4 นาย ทหาร 6 นายยศสูงสุดคือ พล.ท.มนัส คงแป้น ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งในการจับนายทหารระดับ “พลโท” นั้นสร้างผลกระทบต่อกองทัพฯพอสมควร แต่ในทางหนึ่งทำให้เห็นว่ารับบาลเอาจริงเอาจังกับขบวนการค้ามนุษย์ และต้องการให้ประเทศไทย พ้นจากกลุ่มประเทศที่ถูกจับตาโดยกลุ่มสมาชิกอียู. หรือสหภาพยุโรป จัดอันดับให้ประเทศไทยมีปัญหาการค้ามนุษย์ขั้นรุนแรง (Tier 3)
ปัญหาอุปสรรคต่างๆของคณะสอบสวนคดีค้ามนุษย์โณฮิงญา น่าจะผ่านไปด้วยความราบรื่นเพราะตลอดเวลา 5 เดือนก่อนการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตำรวจจะมาถึง ไม่เคยมีข่าวผ่านหูผ่านตาสักนิดว่าตำรวจคณะดังกล่าวต้องเจอกับอิทธิพลใดบ้าง
จนศึกชิงเก้าอี้ระหว่าง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตรองผบ.ตร. ฝ่ายกฎหมาย และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง จบลงที่ฝ่ายหลังเข้าเส้นชัยได้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ และต่อมามีการโยกย้ายตำรวจระดับ ผบช. - ผบก. ปรากฏว่า ร่องรอยของความไม่ชอบมาพากลได้ปรากฏให้เห็น
กล่าวคือ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์ฯถูกคำสั่ง ตร.ย้ายไปเป็นรอง ผบช.ประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และเป็นการย้ายในระนาบเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติเนื่องจากผลงานที่ผ่านมาหากรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจมีความจริงใจอย่างน้อยชื่อของ หน.คณะทำงานค้ามนุษย์โรฮีงญา ควรได้ขยับขึ้นตามความดีความชอบ หรือเลวร้ายที่สุดก็คือการให้อยู่ในตำแหน่งเดิมตามที่เจ้าตัวร้องขอ
ขณะที่นายตำรวจหลายคนผลงานไม่ปรากฏ และบางคนเคยถูกเพ่งเล็งฐานปล่อยปละละเลยเช่นอดีตนายตำรวจระดับรอง ผบก.คนหนึ่งอยู่ในตำแหน่งในพื้นที่มีปัญหาค้ามนุษย์อย่างรุนแรงกลับได้ขยับขึ้นเป็น ผบก.จังหวัดสำคัญ “เกรดA” อยู่ใกล้ทะเล อย่างน้อย 2 แห่ง
เช่นเดียวกับสิ่งผิดปกติในระดับรองผบช.ภ.ภาค 8 มีการย้ายระดับผู้บังคับการตำรวจในภาคกลาง และภาคอีสานเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ส่วน พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โฮริงญา ได้บำเหน็จความชอบสั่งให้ไปเสี่ยงภัยในระนาบเดิมที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
จริงอยู่เป็นตำรวจต้องมีวินัย และความจริงอีกข้อที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เมื่อมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่สำหรับกรณี รองฯปวีณ คงต้องถามย้อนกลับไปที่ต้นสังกัด หรือให้ตรงตัวก็คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ว่ามีเหตุผล และความจำเป็นแค่เพราะว่าไปแล้วภารกิจในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีสำคัญ มีสำนวนถึง 2 แสนแผ่น หากต้องการสนับสนุนให้เกิดผลต่อเนื่องในการเอาผิดต่อขบวนการค้ามนุษย์ฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวเบิ้ม มีอิทธิพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรย้ายให้มาอยู่ในส่วนกลางเพื่อประสานงานติดต่อกับสำนักอัยการ ได้ตลอดเวลา
ดังนั้น คำตอบของคำสั่งย้าย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ จากรองผบช.ภ.8 ไปอยุ่ ศชต.จึงไม่ชอบมาพากล และอาจเข้าข่ายเป็นการกลั่นแกล้งกันเลยก็ได้
เพราะถ้ามองกลับไปยังเหตุการณ์ “จ่าเพียรกระดูกเหล็ก” โดยเฉพาะการที่เจ้าตัวบากหน้ามาขอร้องนายกรัฐมนตรี ให้ช่วยย้ายไปจากบันนังสตา แต่ได้รับการปฏิเสธและนำมาสู่การเสียชีวิตนั้น กรณีของ รองฯปวีณ เปรียบเสมือนการ “ล็อกเป้า” และยิ่งมีเสียงเตือน คำขู่ต่างๆขวัญกำลังใจในการทำงานคงไม่ต้องพูดถึง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคงต้องฝากไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ที่เพิ่งเข้ามารับหน้าที่....ก่อนหน้าท่านคือความหวังของตำรวจส่วนใหญ่แต่มาวันนี้ชักไม่แน่ใจ การแถลงข่าวส่งสัญญาณในเชิงตำหนิเรื่องวินัยนั้น ท่าน ผบ.ตร.ควรสดับด้วยใจเมตตา ท่านต้องเชื่อในสัญชาติญาณระวังภัยของตำรวจ
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ แม้จะไม่บู๊โลดโผนเหมือนนายตำรวจคนดังทั้งหลาย และจิตสำนึกของตำรวจต้องไม่หวั่นกับภัยพาล แต่สำหรับการยัดเยียด หรือ “ล็อกเป้า” ให้ไปสู่สังเวียนเชือด มันเป็นเรื่องที่น่าอดสู เป็นชะตากรรมของคนทำงานที่สังคมไทยและสังคมตำรวจกำลังจับตาอยู่
ดังที่มีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า ศัตรูเพียงคนเดียวก็สร้างความยุ่งยากได้ตลอดชีวิต นี่มีถึง 153 ราย แต่ละคนไม่ธรรมดาทั้งนักการเมือง เศรษฐีมีเงินมีหลักทรัพย์เป็นพันล้าน อีกกลุ่มคือทหาร ตำรวจล้วนมีพวกมีรุ่นมีอิทธิพลทั้งทางมืดและสว่าง
เมื่อฝาก ผบ.ตร. ให้กรุณายับยั้งชั่งใจแล้วคงต้องโยงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี บุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นความหวังของคนไทย และมีอำนาจบริหารบ้านเมืองในขณะนี้มากที่สุด
ขอให้ท่านนายกฯ ลองเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบถามรายละเอียดต่างๆ อีกครั้ง ไม่ต้องใกลตัวหรอก ก็ท่านปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นั่นไง
ถาม พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตหัวเรือใหญ่ผู้ทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา เอาข้อเท็จจริงต่างๆ มาให้ได้เพราะที่ทราบมานั้นในการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดยังมีข้าราชการตัวแสบโดยเฉพาะตำรวจใหญ่อีกหลายนาย ที่เป็นสมัครพรรคพวกของฝ่ายผู้ต้องหา
การกดดัน ข่มขู่และวิธีกลั่นแกล้งด้วยการโยกย้ายให้ไปทำหน้าที่ในเขตอันตราย หรือช่วย “ล็อกเป้า” ให้กับฝ่ายผู้ต้องหานั้น มันมีมูลความจริงหรือไม่ อย่าลืมว่าจนบัดนี้ฝรั่งมังค่า หรือแม้แต่ชาวโลกก็ยังคงจับตาเราอยู่ ในอดีตใครเป็นใคร เคยเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ หรือทำงานกองบัญชาการตำรวจ ภาค 9 ย่อมมีปฏิสัมพันธ์กับผู้กว้างขวางในพื้นที่ไม่มากก็น้อย และนี่คือการเลือฝ่ายเลือกข้างโดยที่ชุดทำงานภายใต้ปีก พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีต รอง ผบ.ตร.ในขณะนั้นกำลังประสบชะตากรรมอย่าน่าเป็นห่วง
ไม่เว้นกระทั่งระดับเด็กๆเช่น พ.ต.อ. จนถึง พ.ต.ต. ทุกๆคนที่อยู่ในชุดคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ต่างเตรียมตัวเตรียมใจกันแล้ว
ถ้า “ลุงตู่”ไม่ช่วย ต่อไปนี้แม้ภารกิจใดก็ตามแม้จะประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ก็คงหาคนทำงานอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ประเทศชาติอยู่รอด!? รัฐบาลได้เครดิต!? แต่คนทำงานต้องประสบเคราะห์กรรม มันมากเกินไปหรือเปล่า !!