“มีชัย” ยอมถอยให้ปาร์ตี้ลิสต์นับแต้มคนชนะด้วย ชูใช้บัตรเดียวช่วยพรรคเข้มแข็ง คะแนนไม่สูญเหล่า ปัดเขียนกติกาสกัดใคร แย้มยุบพรรคไม่ตัดสิทธิ์ กก.บห. ฮึ่มให้คนนอกประเทศบริหารพรรคเข้าข่ายถูกยุบ ปัดตอบคนหนีคดี-วีดีโอลิงก์สั่งการเข้าข่ายด้วยหรือไม่ “เพื่อไทย” ออกแถลงการณ์ 8 เหตุผลค้านเลือกตั้งระบบใหม่ จวกใช้บัตรใบเดียวจำกัดสิทธิ เชื่อไม่แก้ซื้อเสียง ด้าน “จาตุรนต์” สับกติกาแปลกประหลาด ชี้พิรุธเขียนแย่ๆเพื่อให้ถูกตีตก
ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงถึงความคืบหน้าในการร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของการกำหนดระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมว่า ยังยืนยันว่าการลงคะแนนบัตรเดียวถูกต้อง เพราะทำให้ประชาชนต้องพิจารณา ทั้งคนและพรรคก่อนที่จะลงคะแนน ซึ่งจะทำให้พรรคเข้มแข็งขึ้น โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาวิธีคำนวณสัดส่วนผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อมีหลายวิธี เพื่อให้ทุกคะแนนเกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้ยังไม่ตกผลึก แต่หลักการแน่นอนแล้วว่าจำนวน ส.ส.จะมี 500 คน 350 คน เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ระบบบัญชีรายชื่อ 150 คน โดยแบบบัญชีรายชื่อจะใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง คำนวณจากคะแนนผู้มาใช้สิทธิโดยเอาคะแนนของทุกพรรคจากเขตเลือกตั้งทั้งประเทศมาคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอาจกำหนดให้มีตัวแทนจากทุกภาคในบัญชีรายชื่อด้วย ส่วนฐานที่มาของจำนวนสัดส่วน ส.ส.นั้น เป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
เหน็บคนวิจารณ์เคารพ กรธ.บ้าง
นายมีชัย กล่าวถึงเหตุผลที่ให้ลงคะแนนบัตรเดียวแทนการลงคะแนนสองบัตรว่า เป็นวิธีเดียวที่คะแนนไม่สูญเปล่า และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็สนับสนุนว่า พรรคจะเข้มแข็งขึ้น ทั้งนี้คะแนนของผู้ที่ชนะจะถูกนำมานับรวมเพื่อคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อด้วย เท่ากับประชาชนใช้สิทธิครั้งเดียวแต่นับสองครั้งจึงเกิดความเป็นธรรมกับประชาชนว่าได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ส่วนข้อเสนอพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้แยก 2 ใบนั้น กรธ.เคารพความเห็นของทุกฝ่าย แต่คิดว่าคนเหล่านั้นคงเคารพความเห็นของ กรธ.ด้วยเช่นกัน เพราะพยายามแก้ปัญหาเรื่องคะแนนเสียงให้ได้รับการยอมรับ ซึ่งการลงคะแนน 2 ใบ คะแนนผู้แพ้ก็จะถูกทิ้ง แต่วิธีนี้จะทำให้คะแนนของคนที่แพ้ไม่สูญเปล่า เพราะคะแนนเหล่านั้นจะนำมาคำนวณในสัดส่วนบัญชีรายชื่อ ซึ่งยึดโยงกับ ส.ส.เขต ทำให้ประชาชนต้องคิดเลือกทั้งคนทั้งพรรคไปในคราวเดียวกัน
“ผลลัพธ์ที่ได้จากระบบเลือกตั้งนี้จะทำให้ไม่คะแนนเสียไป รัฐบาลยังเข้มแข็งได้และไม่ใช่การวางแนวทางสกัดใคร หรือเป็นการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่คิดว่าเป็นระบบที่เป็นธรรมแม้ว่าพรรคเล็กจะเห็นว่าเสียเปรียบก็ต้องคิดด้วยว่า ไม่ว่าจะใช้ระบบไหนพรรคเล็กก็ส่งน้อยกว่าพรรคใหญ่อยู่แล้ว โดยทาง กกต.เชื่อว่าพร้อมที่จะดำเนินการตามระบบนี้” นายมีชัย กล่าว
ย้ำผู้สมัครต้องชนะโหวตโน
นายมีชัย กล่าวถึงคะแนนโหวตโนว่า ทุกคนต้องชนะคะแนนโหวตโนให้ได้ ถ้าแพ้เมื่อใดก็ไปกันหมด ซึ่งอยู่ในระหว่างตัดสินใจว่า จะให้โอกาสลงสมัครอีกครั้ง หรือให้เว้นวรรคไปลงสมัครรอบหน้า ส่วนการคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อจะนับจากคนมาใช้สิทธิไม่ใช่คำนวณจากผู้มีสิทธิ จึงยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ว่าประชากรกี่คนจึงจะได้ ส.ส. 1 คน เพราะยังไม่ทราบว่าจะมีประชาชนไปใช้สิทธิเท่าใด แต่ยืนยันว่าการคำนวณคะแนนจะไม่ยากกว่าบัญญัติไตรยางค์แน่นอน
สำหรับกรณีที่พบว่ามีการทุจริตในเขตเลือกตั้ง และ กกต.แจกใบแดงให้ ส.ส.เขตนั้น นายมีชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการทุจริตดังกล่าวมีแนวโน้มซื้อให้บัญชีรายชื่อด้วย แต่ไม่กระทบบัญชีรายชื่อ เพราะลงคะแนนทั้งประเทศ กกต.จึงไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้ แต่คราวนี้เมื่อแยกเป็นเขต ใครทุจริตคะแนนจะถูกลบออกแล้วนำมาคำนวณใหม่ พรรคต้องระมัดระวังการทุจริตมากขึ้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการได้จำนวน ส.ส.เพราะกฏหมายกำหนดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องประกาศรับรองภายใน 30 วัน จากนั้นจึงค่อยมาสอบทีหลัง
แย้มยุบพรรค ไม่ตัดสิทธิ กก.บห.
เมื่อถามว่า การใช้ระบบนี้จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับคะแนนเสียงในสภาจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า หากมีการทุจริตในเขตใดคะแนนทุกพรรคจะต้องถูกนำมาคำนวณใหม่ ถ้าทุจริตมากจนส.ส.น้อยลงก็อาจสงผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ ทั้งนี้เชื่อว่าด้วยกลไกเช่นนี้จะทำให้กระชับทุกคะแนนมีค่า ส่วนการลงโทษผู้ทุจริตเลือกตั้งนั้นจะไม่มีเรื่องการยุบพรรคหรือตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะไม่เช่นนั้นอีกหน่อยกรรมการบริหารพรรคก็จะไม่ใช่ตัวจริง
“ถ้าพรรคทำทุจริตก็ต้องยุบพรรค แต่ไม่ได้ใช้ระบบเดิมคือตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคและยุบพรรคกรณีมีผู้ทุจริต แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าพรรคมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะถ้าจะปล่อยให้ทำเช่นนี้คนที่บริหารตัวจริงจะไปแอบอยู่ข้างหลังกันหมด จึงจะมีการตัดสิทธิเฉพาะบุคคลที่ทุจริตและรู้เห็นเป็นใจเท่านั้น และยังไม่มีความคิดยุบพรรค เว้นแต่ว่าเห็นชัดเจนว่าพรรคกระทำผิด
เลี่ยงตอบคนหนีคดีชักใยพรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าพรรคยอมให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศบริหารต้องถูกยุบพรรคหรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่าขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็อาจจะต้องยุบพรรค เพราะแสดงว่าพรรคนั้นไม่มีคนดีที่จะบริหารพรรคได้ต้องเอาคนนอกมาบริหาร
เมื่อถามต่อว่า คนที่มีคดีถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ นายมีชัยกล่าวเลี่ยงว่า ”ไอดี (การระบุตัวตน) มันใกล้เคียงเข้าไปทุกทีแล้ว อย่าตอบเลยดีกว่า เอาไว้ไปคุยกันข้างหลัง”
เมื่อถามว่า กกต.เคยมีการพิจารณากรณีคนอยู่ต่างประเทศบริหารพรรคการเมือง แต่มีมติยกคำร้องจะทำให้เกิดความขัดเจนในตัวชี้วัดที่จะใช้ในการตัดสินได้อย่างไร นายมีชัยกล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่เขียนรายละเอียดในรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไปกำหนดในกฎหมายลูกว่าทำอย่างไรจึงถือว่าให้คนนอกเข้ามาเป็นผู้บริหาร ซึ่งหากเรื่องนี้เคยเป็นปัญหาอยู่ก็ต้องให้ความชัดเจนมากกว่ากฎหมายปัจจุบัน หาก กกต.มาเล่าให้ฟัง กรธ.ก็พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาให้
ทั้งนี้นายมีชัยไม่ยอมตอบปัญหาว่า การวีดีโอลิงค์เข้ามาถือว่ามีความผิดหรือไม่ โดยกล่าวเพียงว่าไว้คุยกันหลังไมค์
พท.ร่อน 8 เหตุผลค้านไอเดีย กรธ.
ด้าน พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ต่อแนวคิดของ กรธ.ที่จะนำการเลือกตั้งระบบใหม่ ที่เรียกว่า “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม” มาใช้ โดยระบุเหตุผล 8 ข้อ ดังนี้ 1.ระบบการเลือกตั้งที่จะนำมาใช้ต้องให้โอกาสความเท่าเทียมกันของพรรคการเมืองในการส่งผู้สมัครตามความต้องการของประชาชน ความมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ไม่ใช่ระบบที่จะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา 2.การใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ไม่อาจทราบถึงความต้องการของประชาชนว่าจะเลือกผู้สมัคร หรือเลือกพรรคการเมือง เป็นการจำกัดสิทธิประชาชน 3.พรรคที่มีจำนวน ส.ส.ระบบเขตมาก อาจไม่ใช่พรรคเสียงข้างมากในสภา เพราะถูกตัดคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อออกไปหมด 4.ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าจะเลือกผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้ง
ชูสูตร รธน.ปี 40-50 ดีที่สุด
แถลงการณ์พรรคเพื่อไทยระบุต่อว่า 5.ไม่ใช่ระบบที่แท้จริงในการสะท้อนทุกคะแนนไม่ให้สูญเปล่า 6.ไม่ได้ส่งผลให้การซื้อสิทธิขายเสียงลดน้อยลง 7. ระบบจัดสรรปันส่วนไม่เป็นสากล และ 8.พรรคเพื่อไทยเห็นว่าปัญหาของการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นเพราะระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่ดี แต่เกิดจากปัจจัยอื่น เช่น ปัญหาที่ผู้แพ้การเลือกตั้งไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และใช้วิธีการเพื่อบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การใช้องค์กรและกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เสมอภาคเท่าเทียมกัน เป็นต้น
“ประเทศชาติไม่ใช่เครื่องทดลองทางความคิดของ กรธ.ที่คิดอะไรได้ก็จะนำมาใช้ทันที ระบบการเลือกตั้งที่เหมาะสมกับประเทศไทยนั้นควรใช้ระบบการเลือกตั้งแบบผสมตามรัฐธรรมนูญ 2540 หรือ 2550 เป็นหลัก เนื่องจากเป็นระบบการเลือกตั้งที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนและเปิดโอกาสให้เลือกทั้งคนและพรรค โดยไม่ตัดคะแนนใด ๆ ที่ประชาชนมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่แพ้เลือกตั้ง หรือที่ชนะเลือกตั้งก็ตาม” แถลงการณ์ ระบุ
“อ๋อย” สับสูตรเลือกตั้งประหลาด
ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย เขียนข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ระบบเลือกตั้งที่ กรธ.กำหนดมีหลายแง่มุม เมื่อคิดตามและสมมติตัวเลขตามสูตรได้พบความแปลก จนไม่แน่ใจว่าคำนวณผิดไปหรือไม่ สมมุติว่าส.ส.เขตและส.ส.บัญชีรายชื่อมีจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าพรรคการเมืองพรรคหนื่งจะได้ ส.ส.เขตมากเพียงใด พรรคนี้จะไม่ได้เสียงเกินครึ่งหรือไม่อาจจะกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนเสมอ หรือสมมุติว่ามี ส.ส.เขตกับส.ส.บัญชีรายชื่อ เท่ากันอย่างละ 100 คน ถ้าพรรค ก.ได้ ส.ส.เขต 90 คน พรรค ก.มีแนวโน้มได้ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ถึง 10 คน พรรคอื่นได้ ส.ส.เขต 10 คน และจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากกว่า 90 คน หมายความว่า พรรค ก. ซึ่งได้ ส.ส.เขต 90 คนจะกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาฯ
“ดูเหมือนนายมีชัยกลัวคนจะได้กินแกงไก่อย่างเดียว จึงอยากให้กินกับข้าวอย่างอื่นบ้างนั้น แต่สุดท้ายอาจจะได้กินแกงโฮะหรือจับฉ่ายแทน และสูตรของนายมีชัยจะมีปัญหา คือคนอยากกินแกงไก่แต่ไม่ได้กินแกงไก่ กลับได้กินแกงโฮะแทน” นายจาตุรนต์ ระบุ
ชี้พิรุธร่าง รธน.แย่ๆให้คว่ำ
นายจาตุรนต์ระบุด้วยว่า ระบบนี้ที่นำคะแนนเสียงของผู้ไม่ได้รับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตมาคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นการเน้นความสำคัญของบุคคลมากกว่าพรรคการเมือง ที่แปลกประหลาดคือ ระบบนี้เอาคะแนนเสียงของผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขต ซึ่งเป็นคะแนนที่ได้มาจากการเน้นตัวบุคคลมาคำนวณหาสัดส่วนและจำนวนที่นั่งที่พรรคการเมืองจะได้รับ ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในพรรคการเมือง เพราะผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อหลายรายอาจจะพยายามลุ้นให้ ส.ส.เขตสอบตก เพื่อจะได้นำคะแนนที่ได้รับไปคำนวณที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อ และตนเองให้มีสิทธิ์ได้เป็น ส.ส.มากขึ้น สำหรับผู้ที่เป็นนายทุนของพรรค และเป็นนักซื้อเสียงก็อาจจะพร้อมที่จะซื้อทุกคะแนน เพราะถ้าชนะก็ได้ ส.ส.แบ่งเขต ถ้าแพ้ก็เอาไปคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ การซื้อเสียงจึงมีมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตที่การแข่งขันสูสีกันมาก
“การร่างรัฐธรรมนูญแบบที่ทำกันอยู่นี้วิเคราะห์ยาก เขาอาจจะร่างให้แย่มากๆ แบบตั้งใจให้ผ่าน ซึ่งถ้าผ่านประชามติก็ดีสำหรับผู้ร่าง ถ้าไม่ผ่าน คสช.จะทำอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ อาจให้คณะเดิมร่างอีกให้ สนุกสนานกันไปก็ได้ หรือเขาอาจจะตั้งใจร่างให้แย่มากๆเพื่อไม่ให้ผ่านก็ได้อีก คือได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง” นายจาตุรนต์ ระบุ.
ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงถึงความคืบหน้าในการร่างรัฐธรรมนูญในส่วนของการกำหนดระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมว่า ยังยืนยันว่าการลงคะแนนบัตรเดียวถูกต้อง เพราะทำให้ประชาชนต้องพิจารณา ทั้งคนและพรรคก่อนที่จะลงคะแนน ซึ่งจะทำให้พรรคเข้มแข็งขึ้น โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาวิธีคำนวณสัดส่วนผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อมีหลายวิธี เพื่อให้ทุกคะแนนเกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้ยังไม่ตกผลึก แต่หลักการแน่นอนแล้วว่าจำนวน ส.ส.จะมี 500 คน 350 คน เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ระบบบัญชีรายชื่อ 150 คน โดยแบบบัญชีรายชื่อจะใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง คำนวณจากคะแนนผู้มาใช้สิทธิโดยเอาคะแนนของทุกพรรคจากเขตเลือกตั้งทั้งประเทศมาคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอาจกำหนดให้มีตัวแทนจากทุกภาคในบัญชีรายชื่อด้วย ส่วนฐานที่มาของจำนวนสัดส่วน ส.ส.นั้น เป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
เหน็บคนวิจารณ์เคารพ กรธ.บ้าง
นายมีชัย กล่าวถึงเหตุผลที่ให้ลงคะแนนบัตรเดียวแทนการลงคะแนนสองบัตรว่า เป็นวิธีเดียวที่คะแนนไม่สูญเปล่า และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็สนับสนุนว่า พรรคจะเข้มแข็งขึ้น ทั้งนี้คะแนนของผู้ที่ชนะจะถูกนำมานับรวมเพื่อคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อด้วย เท่ากับประชาชนใช้สิทธิครั้งเดียวแต่นับสองครั้งจึงเกิดความเป็นธรรมกับประชาชนว่าได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ส่วนข้อเสนอพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้แยก 2 ใบนั้น กรธ.เคารพความเห็นของทุกฝ่าย แต่คิดว่าคนเหล่านั้นคงเคารพความเห็นของ กรธ.ด้วยเช่นกัน เพราะพยายามแก้ปัญหาเรื่องคะแนนเสียงให้ได้รับการยอมรับ ซึ่งการลงคะแนน 2 ใบ คะแนนผู้แพ้ก็จะถูกทิ้ง แต่วิธีนี้จะทำให้คะแนนของคนที่แพ้ไม่สูญเปล่า เพราะคะแนนเหล่านั้นจะนำมาคำนวณในสัดส่วนบัญชีรายชื่อ ซึ่งยึดโยงกับ ส.ส.เขต ทำให้ประชาชนต้องคิดเลือกทั้งคนทั้งพรรคไปในคราวเดียวกัน
“ผลลัพธ์ที่ได้จากระบบเลือกตั้งนี้จะทำให้ไม่คะแนนเสียไป รัฐบาลยังเข้มแข็งได้และไม่ใช่การวางแนวทางสกัดใคร หรือเป็นการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่คิดว่าเป็นระบบที่เป็นธรรมแม้ว่าพรรคเล็กจะเห็นว่าเสียเปรียบก็ต้องคิดด้วยว่า ไม่ว่าจะใช้ระบบไหนพรรคเล็กก็ส่งน้อยกว่าพรรคใหญ่อยู่แล้ว โดยทาง กกต.เชื่อว่าพร้อมที่จะดำเนินการตามระบบนี้” นายมีชัย กล่าว
ย้ำผู้สมัครต้องชนะโหวตโน
นายมีชัย กล่าวถึงคะแนนโหวตโนว่า ทุกคนต้องชนะคะแนนโหวตโนให้ได้ ถ้าแพ้เมื่อใดก็ไปกันหมด ซึ่งอยู่ในระหว่างตัดสินใจว่า จะให้โอกาสลงสมัครอีกครั้ง หรือให้เว้นวรรคไปลงสมัครรอบหน้า ส่วนการคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อจะนับจากคนมาใช้สิทธิไม่ใช่คำนวณจากผู้มีสิทธิ จึงยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ว่าประชากรกี่คนจึงจะได้ ส.ส. 1 คน เพราะยังไม่ทราบว่าจะมีประชาชนไปใช้สิทธิเท่าใด แต่ยืนยันว่าการคำนวณคะแนนจะไม่ยากกว่าบัญญัติไตรยางค์แน่นอน
สำหรับกรณีที่พบว่ามีการทุจริตในเขตเลือกตั้ง และ กกต.แจกใบแดงให้ ส.ส.เขตนั้น นายมีชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการทุจริตดังกล่าวมีแนวโน้มซื้อให้บัญชีรายชื่อด้วย แต่ไม่กระทบบัญชีรายชื่อ เพราะลงคะแนนทั้งประเทศ กกต.จึงไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้ แต่คราวนี้เมื่อแยกเป็นเขต ใครทุจริตคะแนนจะถูกลบออกแล้วนำมาคำนวณใหม่ พรรคต้องระมัดระวังการทุจริตมากขึ้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการได้จำนวน ส.ส.เพราะกฏหมายกำหนดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องประกาศรับรองภายใน 30 วัน จากนั้นจึงค่อยมาสอบทีหลัง
แย้มยุบพรรค ไม่ตัดสิทธิ กก.บห.
เมื่อถามว่า การใช้ระบบนี้จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับคะแนนเสียงในสภาจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า หากมีการทุจริตในเขตใดคะแนนทุกพรรคจะต้องถูกนำมาคำนวณใหม่ ถ้าทุจริตมากจนส.ส.น้อยลงก็อาจสงผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ ทั้งนี้เชื่อว่าด้วยกลไกเช่นนี้จะทำให้กระชับทุกคะแนนมีค่า ส่วนการลงโทษผู้ทุจริตเลือกตั้งนั้นจะไม่มีเรื่องการยุบพรรคหรือตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะไม่เช่นนั้นอีกหน่อยกรรมการบริหารพรรคก็จะไม่ใช่ตัวจริง
“ถ้าพรรคทำทุจริตก็ต้องยุบพรรค แต่ไม่ได้ใช้ระบบเดิมคือตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคและยุบพรรคกรณีมีผู้ทุจริต แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าพรรคมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะถ้าจะปล่อยให้ทำเช่นนี้คนที่บริหารตัวจริงจะไปแอบอยู่ข้างหลังกันหมด จึงจะมีการตัดสิทธิเฉพาะบุคคลที่ทุจริตและรู้เห็นเป็นใจเท่านั้น และยังไม่มีความคิดยุบพรรค เว้นแต่ว่าเห็นชัดเจนว่าพรรคกระทำผิด
เลี่ยงตอบคนหนีคดีชักใยพรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าพรรคยอมให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศบริหารต้องถูกยุบพรรคหรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่าขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็อาจจะต้องยุบพรรค เพราะแสดงว่าพรรคนั้นไม่มีคนดีที่จะบริหารพรรคได้ต้องเอาคนนอกมาบริหาร
เมื่อถามต่อว่า คนที่มีคดีถือว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ นายมีชัยกล่าวเลี่ยงว่า ”ไอดี (การระบุตัวตน) มันใกล้เคียงเข้าไปทุกทีแล้ว อย่าตอบเลยดีกว่า เอาไว้ไปคุยกันข้างหลัง”
เมื่อถามว่า กกต.เคยมีการพิจารณากรณีคนอยู่ต่างประเทศบริหารพรรคการเมือง แต่มีมติยกคำร้องจะทำให้เกิดความขัดเจนในตัวชี้วัดที่จะใช้ในการตัดสินได้อย่างไร นายมีชัยกล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่เขียนรายละเอียดในรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไปกำหนดในกฎหมายลูกว่าทำอย่างไรจึงถือว่าให้คนนอกเข้ามาเป็นผู้บริหาร ซึ่งหากเรื่องนี้เคยเป็นปัญหาอยู่ก็ต้องให้ความชัดเจนมากกว่ากฎหมายปัจจุบัน หาก กกต.มาเล่าให้ฟัง กรธ.ก็พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาให้
ทั้งนี้นายมีชัยไม่ยอมตอบปัญหาว่า การวีดีโอลิงค์เข้ามาถือว่ามีความผิดหรือไม่ โดยกล่าวเพียงว่าไว้คุยกันหลังไมค์
พท.ร่อน 8 เหตุผลค้านไอเดีย กรธ.
ด้าน พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ต่อแนวคิดของ กรธ.ที่จะนำการเลือกตั้งระบบใหม่ ที่เรียกว่า “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม” มาใช้ โดยระบุเหตุผล 8 ข้อ ดังนี้ 1.ระบบการเลือกตั้งที่จะนำมาใช้ต้องให้โอกาสความเท่าเทียมกันของพรรคการเมืองในการส่งผู้สมัครตามความต้องการของประชาชน ความมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ไม่ใช่ระบบที่จะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา 2.การใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ไม่อาจทราบถึงความต้องการของประชาชนว่าจะเลือกผู้สมัคร หรือเลือกพรรคการเมือง เป็นการจำกัดสิทธิประชาชน 3.พรรคที่มีจำนวน ส.ส.ระบบเขตมาก อาจไม่ใช่พรรคเสียงข้างมากในสภา เพราะถูกตัดคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อออกไปหมด 4.ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าจะเลือกผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้ง
ชูสูตร รธน.ปี 40-50 ดีที่สุด
แถลงการณ์พรรคเพื่อไทยระบุต่อว่า 5.ไม่ใช่ระบบที่แท้จริงในการสะท้อนทุกคะแนนไม่ให้สูญเปล่า 6.ไม่ได้ส่งผลให้การซื้อสิทธิขายเสียงลดน้อยลง 7. ระบบจัดสรรปันส่วนไม่เป็นสากล และ 8.พรรคเพื่อไทยเห็นว่าปัญหาของการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นเพราะระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่ดี แต่เกิดจากปัจจัยอื่น เช่น ปัญหาที่ผู้แพ้การเลือกตั้งไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และใช้วิธีการเพื่อบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การใช้องค์กรและกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เสมอภาคเท่าเทียมกัน เป็นต้น
“ประเทศชาติไม่ใช่เครื่องทดลองทางความคิดของ กรธ.ที่คิดอะไรได้ก็จะนำมาใช้ทันที ระบบการเลือกตั้งที่เหมาะสมกับประเทศไทยนั้นควรใช้ระบบการเลือกตั้งแบบผสมตามรัฐธรรมนูญ 2540 หรือ 2550 เป็นหลัก เนื่องจากเป็นระบบการเลือกตั้งที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนและเปิดโอกาสให้เลือกทั้งคนและพรรค โดยไม่ตัดคะแนนใด ๆ ที่ประชาชนมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคที่แพ้เลือกตั้ง หรือที่ชนะเลือกตั้งก็ตาม” แถลงการณ์ ระบุ
“อ๋อย” สับสูตรเลือกตั้งประหลาด
ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย เขียนข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ระบบเลือกตั้งที่ กรธ.กำหนดมีหลายแง่มุม เมื่อคิดตามและสมมติตัวเลขตามสูตรได้พบความแปลก จนไม่แน่ใจว่าคำนวณผิดไปหรือไม่ สมมุติว่าส.ส.เขตและส.ส.บัญชีรายชื่อมีจำนวนเท่ากัน ไม่ว่าพรรคการเมืองพรรคหนื่งจะได้ ส.ส.เขตมากเพียงใด พรรคนี้จะไม่ได้เสียงเกินครึ่งหรือไม่อาจจะกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนเสมอ หรือสมมุติว่ามี ส.ส.เขตกับส.ส.บัญชีรายชื่อ เท่ากันอย่างละ 100 คน ถ้าพรรค ก.ได้ ส.ส.เขต 90 คน พรรค ก.มีแนวโน้มได้ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ถึง 10 คน พรรคอื่นได้ ส.ส.เขต 10 คน และจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากกว่า 90 คน หมายความว่า พรรค ก. ซึ่งได้ ส.ส.เขต 90 คนจะกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาฯ
“ดูเหมือนนายมีชัยกลัวคนจะได้กินแกงไก่อย่างเดียว จึงอยากให้กินกับข้าวอย่างอื่นบ้างนั้น แต่สุดท้ายอาจจะได้กินแกงโฮะหรือจับฉ่ายแทน และสูตรของนายมีชัยจะมีปัญหา คือคนอยากกินแกงไก่แต่ไม่ได้กินแกงไก่ กลับได้กินแกงโฮะแทน” นายจาตุรนต์ ระบุ
ชี้พิรุธร่าง รธน.แย่ๆให้คว่ำ
นายจาตุรนต์ระบุด้วยว่า ระบบนี้ที่นำคะแนนเสียงของผู้ไม่ได้รับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตมาคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นการเน้นความสำคัญของบุคคลมากกว่าพรรคการเมือง ที่แปลกประหลาดคือ ระบบนี้เอาคะแนนเสียงของผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขต ซึ่งเป็นคะแนนที่ได้มาจากการเน้นตัวบุคคลมาคำนวณหาสัดส่วนและจำนวนที่นั่งที่พรรคการเมืองจะได้รับ ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในพรรคการเมือง เพราะผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อหลายรายอาจจะพยายามลุ้นให้ ส.ส.เขตสอบตก เพื่อจะได้นำคะแนนที่ได้รับไปคำนวณที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อ และตนเองให้มีสิทธิ์ได้เป็น ส.ส.มากขึ้น สำหรับผู้ที่เป็นนายทุนของพรรค และเป็นนักซื้อเสียงก็อาจจะพร้อมที่จะซื้อทุกคะแนน เพราะถ้าชนะก็ได้ ส.ส.แบ่งเขต ถ้าแพ้ก็เอาไปคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ การซื้อเสียงจึงมีมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตที่การแข่งขันสูสีกันมาก
“การร่างรัฐธรรมนูญแบบที่ทำกันอยู่นี้วิเคราะห์ยาก เขาอาจจะร่างให้แย่มากๆ แบบตั้งใจให้ผ่าน ซึ่งถ้าผ่านประชามติก็ดีสำหรับผู้ร่าง ถ้าไม่ผ่าน คสช.จะทำอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ อาจให้คณะเดิมร่างอีกให้ สนุกสนานกันไปก็ได้ หรือเขาอาจจะตั้งใจร่างให้แย่มากๆเพื่อไม่ให้ผ่านก็ได้อีก คือได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง” นายจาตุรนต์ ระบุ.