หลังจากส่องอารมณ์ความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายมาหลายรอบ โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญแบบนี้ ยิ่งทำให้เข้าใจถึงสาเหตุว่า ทำไมพวกเขาถึงต้องเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวออกมา เช่น ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่คดีความสำคัญกำลังทยอยเดินหน้า และมีผลต่ออนาคตของคนสำคัญในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดไต่สวนพยานนัดแรก วันที่ 25 มกราคม ในคดีอาญาโครงการรับจำนำข้าว ถือว่าเริ่มเดินหน้าเต็มกำลัง ขณะที่อีกไม่นานก็จะตามมาด้วยคำสั่งทางปกครองบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหาย
**ทั้งสองเรื่องล้วนเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเสี่ยงคุกตะรางและเสี่ยงถูกยึดทรัพย์ถูกฟ้องล้มละลาย นี่ยังไม่นับคนใกล้ชิด คนในครอบครัว ที่กำลังโดนคดีเป็นหางว่าว โดยเฉพาะคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่กำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกรอบ โดยเริ่มแกะรอยไปทีละขั้นตอน ทีละคดี ตีอ้อมเลาะเข้าไปใกล้ตัวคนในครอบครัวของ ทักษิณ เข้าไปเรื่อยๆ
ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นคดีเก่าที่เคยหมกเอาไว้แล้วรื้อขึ้นมาใหม่ ผสมกับคดีใหม่ที่กำลังเดินหน้า ล้วนเป็นผลลบกับ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขาทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในเรื่องกติกา การปฏิรูปเรื่องหลักในบ้านเมืองที่เวลานี้กระแสที่คนส่วนใหญ่ต้องการก็คือการ "ต่อต้านทุจริต" กันอย่างเข้มข้น ก็ล้วนมีผลกระทบกับพวกเขาโดยตรงอีก นั่นคือ มีแนวโน้มสูงยิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะ "กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม" ห้ามบุคคลที่ "เคย" ถูกตัดสินจำคุกจากคดีทุจริตและ"ใช้อำนาจมิชอบ" ลงสมัครรับเลือกตั้ง และรับตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต แม้ว่าดูเหมือนเป็นการกีดกัน "บางคน" แต่มองอีกมุมมันก็ช่วยไม่ได้หากต้องการกวาดล้างให้สิ้นซาก และที่สำคัญก็คือ ถึงจะขาด ทักษิณ และคนในครอบครัวนี้ ประเทศไทยก็คงพัฒนาต่อไปได้เหมือนกัน
เมื่อพูดถึงฝ่ายสูญเสียอำนาจไปแล้ว ก็ต้องพูดถึงฝ่ายอำนาจในตอนนี้ คือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาล นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเส้นทางเริ่มแคบ เลี่ยงไม่ออกก็ต้องเผชิญหน้า แต่นาทีนี้ยิ่งนานกลายเป็นว่าฝ่ายหลังยิ่งได้เปรียบ ยังกุมสภาพได้อย่างมั่นคง นั่นคือยังได้แรงหนุนจากชาวบ้านชนิดที่เรียกว่า "ยังไม่ตก"
เมื่อพิเคราะห์จากลีลาท่าทางแล้วก็ต้องบอกว่าทั้งสองฝ่าย "ทันกัน" นั่นคือการเข้าใจอารมณ์และนิสัยคนไทยได้ดีพอสมควร เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังคือ ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สามารถ "สรุปบทเรียน" และดูเหมือนมีการเตรียมการมาดีใช้ได้
**หากพิจารณากันให้ดีจะเห็นว่า ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีลักษณะท่าทางคล้ายๆ กัน ทั้งการพูดที่ดูโผงผาง ทำงานเร็ว สั่งการเด็ดขาด ที่สำคัญเข้าใจ มีบุคลิกแบบ"บ้านๆ" ส่วนข้างในลึกๆ แล้วจะเป็นแบบไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เชื่อหรือไม่ว่าแบบนี้แหละคนไทยชอบ เหมือนกับความชอบความศรัทธาที่มีต่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีบุคลิกเด็ดขาด เพียงแต่ว่า บั้นปลายมีปัญหาเรื่องประวัติทุจริต ถูกยึดทรัพย์ มีเรื่องอื้อฉาว แต่สรุปรวมก็คือ เป็นผู้นำที่อยู่ในใจคนไทยไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อวกกลับมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีภาพของทหาร มีการพูดจาตอบโต้กับสื่อแบบไม่เกรงใจ มีการด่ากราดบางสื่อที่เขามองว่ามี "วาระซ่อนเร้น" แบบนี้ก็ทำให้สังคมมองด้วยความทึ่ง ขณะเดียวกันที่ผ่านมาที่บอกว่าเขามีการ "ปรับตัว" ก็คือแม้ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่หากสังเกตก็จะพบว่ารู้จักจังหวะเลือกใช้เฉพาะบางเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น อาจเป็นเพราะยุคสมัยต่างกันกับเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ปัจจุบันในยุคของโซเชียลฯที่คอยกำกับและมีอิทธิพลสูง จะสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เป็นอันขาด จะทำอะไรก็ต้องประเมินความรู้สึกมาประกอบด้วย
การประกาศยึดหลักกฎหมายเท่าเทียม ให้ทุกคดีต้องเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด นี่ก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่คลาสสิกทีเดียว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ ทักษิณ ชินวัตร เลิกหลบหนี แล้วกลับเข้ามาต่อสู้คดีให้จบ
ขณะที่ เมื่อพิจารณาในตัว ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ยังใช้กลยุทธ์แบบเดิม นั่นคือ ยังโวยวายในเรื่องความอยุติธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งยิ่งนานไปเสียงแบบนี้มันยิ่งเบา และน่าเบื่อ แน่นอนว่าอาจไม่ได้รับความยุติธรรมจริง แต่คดีต้องไปชี้ขาดที่ศาลมันก็จะได้ข้อยุติ ซึ่งหากพูดแบบนี้ คนอื่นที่เป็นคู่กรณีกับ ทักษิณ ก็โต้แย้งเหมือนกันว่า ในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รับรู้กันว่าเป็น"หุ่นเชิด" พวกเขาก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน แต่ก็ยังกัดฟันขึ้นศาล ขณะที่เขายังหลบหนี ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีฉ้อฉลพยายามออกกฎหมายเพื่อล้างความผิดให้ตัวเอง แล้วก็จบเห่ทุกที
ถึงได้บอกว่า ที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยสรุปบทเรียน ยังฉายหนังม้วนเก่าที่น่าเบื่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นาทีนี้อาจยังสรุปไม่ได้ว่าเขา"เตรียมการ" มาก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่เขารู้จักอารมณ์คนไทย อย่างน้อยด้วยบุคลิกที่เขาเป็นนั้นได้ใจ พิสูจน์เบื้องต้นจากผลสำรวจล่าสุดขนาดพูดถึงเรื่อง "ปิดประเทศ" ที่หากทำจริงก็ลงเหวแน่นอน แต่ชาวบ้านยังเอาด้วยเลย หากยืนระยะแบบนี้มันก็ถือว่ายังปึ้ก
** แต่ถามว่ายังเสี่ยงหรือไม่ ก็เสี่ยง หากบทจะพลาด แค่นิดเดียวก็บิดไปอีกทางหนึ่งแล้ว !!
**ทั้งสองเรื่องล้วนเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเสี่ยงคุกตะรางและเสี่ยงถูกยึดทรัพย์ถูกฟ้องล้มละลาย นี่ยังไม่นับคนใกล้ชิด คนในครอบครัว ที่กำลังโดนคดีเป็นหางว่าว โดยเฉพาะคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ที่กำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกรอบ โดยเริ่มแกะรอยไปทีละขั้นตอน ทีละคดี ตีอ้อมเลาะเข้าไปใกล้ตัวคนในครอบครัวของ ทักษิณ เข้าไปเรื่อยๆ
ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นคดีเก่าที่เคยหมกเอาไว้แล้วรื้อขึ้นมาใหม่ ผสมกับคดีใหม่ที่กำลังเดินหน้า ล้วนเป็นผลลบกับ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขาทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในเรื่องกติกา การปฏิรูปเรื่องหลักในบ้านเมืองที่เวลานี้กระแสที่คนส่วนใหญ่ต้องการก็คือการ "ต่อต้านทุจริต" กันอย่างเข้มข้น ก็ล้วนมีผลกระทบกับพวกเขาโดยตรงอีก นั่นคือ มีแนวโน้มสูงยิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะ "กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม" ห้ามบุคคลที่ "เคย" ถูกตัดสินจำคุกจากคดีทุจริตและ"ใช้อำนาจมิชอบ" ลงสมัครรับเลือกตั้ง และรับตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต แม้ว่าดูเหมือนเป็นการกีดกัน "บางคน" แต่มองอีกมุมมันก็ช่วยไม่ได้หากต้องการกวาดล้างให้สิ้นซาก และที่สำคัญก็คือ ถึงจะขาด ทักษิณ และคนในครอบครัวนี้ ประเทศไทยก็คงพัฒนาต่อไปได้เหมือนกัน
เมื่อพูดถึงฝ่ายสูญเสียอำนาจไปแล้ว ก็ต้องพูดถึงฝ่ายอำนาจในตอนนี้ คือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาล นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเส้นทางเริ่มแคบ เลี่ยงไม่ออกก็ต้องเผชิญหน้า แต่นาทีนี้ยิ่งนานกลายเป็นว่าฝ่ายหลังยิ่งได้เปรียบ ยังกุมสภาพได้อย่างมั่นคง นั่นคือยังได้แรงหนุนจากชาวบ้านชนิดที่เรียกว่า "ยังไม่ตก"
เมื่อพิเคราะห์จากลีลาท่าทางแล้วก็ต้องบอกว่าทั้งสองฝ่าย "ทันกัน" นั่นคือการเข้าใจอารมณ์และนิสัยคนไทยได้ดีพอสมควร เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังคือ ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สามารถ "สรุปบทเรียน" และดูเหมือนมีการเตรียมการมาดีใช้ได้
**หากพิจารณากันให้ดีจะเห็นว่า ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีลักษณะท่าทางคล้ายๆ กัน ทั้งการพูดที่ดูโผงผาง ทำงานเร็ว สั่งการเด็ดขาด ที่สำคัญเข้าใจ มีบุคลิกแบบ"บ้านๆ" ส่วนข้างในลึกๆ แล้วจะเป็นแบบไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เชื่อหรือไม่ว่าแบบนี้แหละคนไทยชอบ เหมือนกับความชอบความศรัทธาที่มีต่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีบุคลิกเด็ดขาด เพียงแต่ว่า บั้นปลายมีปัญหาเรื่องประวัติทุจริต ถูกยึดทรัพย์ มีเรื่องอื้อฉาว แต่สรุปรวมก็คือ เป็นผู้นำที่อยู่ในใจคนไทยไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อวกกลับมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีภาพของทหาร มีการพูดจาตอบโต้กับสื่อแบบไม่เกรงใจ มีการด่ากราดบางสื่อที่เขามองว่ามี "วาระซ่อนเร้น" แบบนี้ก็ทำให้สังคมมองด้วยความทึ่ง ขณะเดียวกันที่ผ่านมาที่บอกว่าเขามีการ "ปรับตัว" ก็คือแม้ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่หากสังเกตก็จะพบว่ารู้จักจังหวะเลือกใช้เฉพาะบางเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น อาจเป็นเพราะยุคสมัยต่างกันกับเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ปัจจุบันในยุคของโซเชียลฯที่คอยกำกับและมีอิทธิพลสูง จะสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เป็นอันขาด จะทำอะไรก็ต้องประเมินความรู้สึกมาประกอบด้วย
การประกาศยึดหลักกฎหมายเท่าเทียม ให้ทุกคดีต้องเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด นี่ก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่คลาสสิกทีเดียว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ ทักษิณ ชินวัตร เลิกหลบหนี แล้วกลับเข้ามาต่อสู้คดีให้จบ
ขณะที่ เมื่อพิจารณาในตัว ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ยังใช้กลยุทธ์แบบเดิม นั่นคือ ยังโวยวายในเรื่องความอยุติธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งยิ่งนานไปเสียงแบบนี้มันยิ่งเบา และน่าเบื่อ แน่นอนว่าอาจไม่ได้รับความยุติธรรมจริง แต่คดีต้องไปชี้ขาดที่ศาลมันก็จะได้ข้อยุติ ซึ่งหากพูดแบบนี้ คนอื่นที่เป็นคู่กรณีกับ ทักษิณ ก็โต้แย้งเหมือนกันว่า ในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รับรู้กันว่าเป็น"หุ่นเชิด" พวกเขาก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน แต่ก็ยังกัดฟันขึ้นศาล ขณะที่เขายังหลบหนี ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีฉ้อฉลพยายามออกกฎหมายเพื่อล้างความผิดให้ตัวเอง แล้วก็จบเห่ทุกที
ถึงได้บอกว่า ที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยสรุปบทเรียน ยังฉายหนังม้วนเก่าที่น่าเบื่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นาทีนี้อาจยังสรุปไม่ได้ว่าเขา"เตรียมการ" มาก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่เขารู้จักอารมณ์คนไทย อย่างน้อยด้วยบุคลิกที่เขาเป็นนั้นได้ใจ พิสูจน์เบื้องต้นจากผลสำรวจล่าสุดขนาดพูดถึงเรื่อง "ปิดประเทศ" ที่หากทำจริงก็ลงเหวแน่นอน แต่ชาวบ้านยังเอาด้วยเลย หากยืนระยะแบบนี้มันก็ถือว่ายังปึ้ก
** แต่ถามว่ายังเสี่ยงหรือไม่ ก็เสี่ยง หากบทจะพลาด แค่นิดเดียวก็บิดไปอีกทางหนึ่งแล้ว !!