“พล.ต.อ.จักรทิพย์” ผบ.ตร. เผย "พล.ต.อ.ประวุฒิ" โทรมารายงานตัวกลับถึงไทยแล้ว ย้ำยังไม่ลาออกราชการ แต่หากไม่มาทำงาน 15 วันถือว่าขาดราชการเกินกำหนดสามารถสั่งให้ออกจากราชการได้ ระบุขณะนี้ยังเป็นผู้รับผิดชอบกิจกรรม"ปั่นเพื่อพ่อ" ต่อไป ส่วนกระแสข่าวพันเอกร่วมขบวนการหมิ่นเบื้องสูงอยู่ระหว่างสอบสวน ขณะที่การสอบสวนตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางทั้ง 8 นายที่ถูกเด้ง กำลังเร่งสอบสสวน คาดจะทราบผลชัดเจนสัปดาห์หน้า
วานนี้ (2 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีการลาหยุดราชการของ พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา (สบ.10) และอดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศแถบทวีปยุโรปโดยมีกำหนดการเดินทางกลับประเทศไทยโดยเครื่องบินในช่วงเช้าวันที่ 2 พ.ย.นี้ว่า ขณะนี้ พล.ต.อ.ประวุฒิ ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับตนแล้ว โดยเจ้าตัวได้แจ้งว่าได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้วประมาณวันที่ 1-2 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่วันนี้ พล.ต.อ.ประวุฒิ ยังไม่ได้เข้ามาทำงานแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตามธรรมเนียมของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น เมื่อข้าราชการตำรวจระดับ ตร. ลาหยุดเดินทางไปปฏิบัติภารกิจหรือเดินทางไปต่างประเทศ และเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยหรือกลับเข้ามาทำงานตามปกติแล้วก็ควรจะต้องติดต่อมายังผู้บังคับบัญชาซึ่งก็คือตน เพื่อแจ้งให้ผู้บังคับบัญชารับทราบเพื่อการปฏิบัติราชการได้อย่างต่อเนื่อง และกรณีของ พล.ต.อ.ประวุฒิ ก็ได้ติดต่อมาแล้ว แต่วันนี้ยังไม่ได้มารายงานตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้หาก พล.ต.อ.ประวุฒิ ขาดราชการเกิน 15 วัน ตามระเบียบแล้วผู้บังคับบัญชาก็สามารถสั่งให้ออกจากราชการได้เช่นเดียวกับข้าราชการตำรวจคนอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวโน้มในกรณี พล.ต.อ.ประวุฒิ ว่ามีโอกาสขาดราชการเกิน 15 วันได้หรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนก็ไม่ทราบ ไม่สามารถเดาใจท่านได้ ถามต่อว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ ทราบข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวท่านหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ท่านก็ได้ข่าว แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านทั้งนั้น ซึ่งตนเชื่อว่าท่านมีวุฒิภาวะที่จะสามารถตัดสินใจได้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ ยังคงรับผิดชอบกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ" อยู่หรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ยื่นหนังสือลาออกก็คงต้องทำหน้าที่ต่อไป แต่หากมีการยื่นลาออกตนก็ต้องหาผู้ที่เข้ามาดำเนินการแทนซึ่งอาจเป็นตำรวจระดับรองๆลงไป โดยภารกิจในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็คือในด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร ซึ่งตนก็เป็นประธานในส่วนนี้อยู่ และมีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง มีการประสานกับทางกองทัพและรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างเรียบร้อยเต็มที่อยู่แล้ว
เมื่อถามถึงความคืบหน้าทางคดี แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงตาม ม.112 พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ล่าสุดศาลก็ได้ออกหมายจับนายศุกร์โข ตามเสรี ในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตอนนี้ยังมีเพียงข้อหาเดียว ยังไม่มีข้อหาความผิดตาม ม.112 ร่วมแต่อย่างใด ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนอยู่ โดยนายศุกร์โข ได้ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี อย่างไรก็ตามหากหลักฐานพาดพิงไปถึงใครก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมายอยู่แล้วซึ่งส่วนนี้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท. รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อถามว่าปืนที่อยู่กับนายศุกร์โข เป็นปืนของใคร ผบ.ตร. กล่าวว่า เท่าที่ได้รับรายงานเป็นปืนของ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด ถามต่อว่าตำรวจต้องสอบสวนเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้ามาเกี่ยวข้องตามกระแสข่าวหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า การสอบสวนไม่ว่าจะเป็นทหารหรือข้าราชการหน่วยใดก็ตามอยู่ในสำนวนของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ อยู่แล้ว แต่ชุดสอบสวนได้เรียกมาแล้วหรือยังตนไม่แน่ใจ ถามถึงกรณีกระข่าวว่ามีนายทหารยศ พ.อ. เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดี ม.112 ผบ.ตร. กล่าวว่า ในตอนนี้ก็คงเป็นไปตามข่าว แต่ต้องให้ชุดสืบสวนสอบสวนรายงานกลับมาให้ชัดเจนอีกครั้ง ส่วนความเชื่อมโยงนั้นตนยังไม่แน่ใจว่าเป็นในรูปแบบใด ไม่อยากตอบเพราะอาจคลาดเคลื่อนได้ คดีนี้เป็นคดีสำคัญ ต้องชัดเจนก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ หัวหน้าชุดสอบสวน และ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. รองหัวหน้าชุดสืบสวน คงร่วมกันพิจารณาอยู่แล้วว่าใครเกี่ยวข้องอย่างไรในขบวนการ และคงได้รายงานให้ตนทราบต่อไป
เมื่อถามถึงกรณีนายตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ทั้ง 8 นายที่ถูกเรียกมาช่วยราชการ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตอนนี้ตนยังไม่ได้รับแจ้งผลการสอบสวนเข้ามา คาดว่าน่าจะภายในสัปดาห์หน้าคงจะได้รับทราบความชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนเพราะมีหลายจุดหลายประเด็นที่เจ้าหน้าที่ต้องการคำตอบ เบื้องต้นอาจจะเป็นพยานผู้ให้ถ้อยคำ แต่หลังจากนั้นอาจเป็นอะไรก็แล้วแต่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปถึง
เมื่อถามว่าคำซัดทอดของนายศุกร์โข ว่า พ.ต.ต.ปรากรม พยายามฝากตัวเองเข้ารับราชการตำรวจ ข้อเท็จจริงส่วนนี้เป็นอย่างไร
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ก็เคยได้ยินข่าว แต่ตนยังไม่เห็นเอกสาร ตอนนี้ก็พยายามสอบถามดูเหมือนกัน ตำรวจจะต้องตรวจสอบทุกประเด็นที่มีเข้ามา อย่างประเด็นการฝากบุคคลเข้ารับราชการตำรวจนี้ก็เช่นเดียวกัน ต้องตรวจสอบแน่นอน ซึ่งเรื่องเกิดในช่วงที่ตนยังไม่ได้เข้ามาเป็น ผบ.ตร. คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ก็ต้องตรวจสอบอีกครั้ง โดยจะต้องตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับความรู้ความสามารถของผู้ที่เข้ามาเป็นตำรวจจากการฝากของ พ.ต.ต.ปรากรม อย่างไรก็ตามการฝากถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่การรับนั้นถือเป็นเรื่องของ ตร. บางครั้งอาจจะฝากได้ บางครั้งอาจฝากไม่ได้ ต้องตรวจสอบ
เมื่อถามว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่เพียงตรวจสอบไปยังกองทะเบียนพลก็ทราบข้อมูลแล้ว
เมื่อถามว่านายศุกร์โข มีความสัมพันธ์อย่างไรกับ พ.ต.ต.ปรากรม พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า คงเป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ตนก็ไม่ได้ทราบรายละเอียดส่วนตัวของเขาเท่าไหร่ ทุกคนก็อาจเป็นเพื่อนพี่น้องกันได้ทั้งนั้น ส่วนจะลึกซึ้งอย่างไรนั้นตนก็ไม่ทราบ
เมื่อถามถึงทรัพย์สินของนายสุริยัน อริยะพลวงศ์ หรือหมอหยอง ที่โอนให้ญาติว่าเอาคืนมาได้หรือยัง ผบ.ตร. กล่าวว่า ดำเนินการแล้ว เรื่องนี้ตรวจสอบอย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ได้เรียกญาติมาสอบถามไปแล้วตามขั้นตอน ต้องดูว่าเขาร่วมมือกันจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่ได้รับฝากทรัพย์สินจากผู้ต้องหาเท่านั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามถึงกรณีบริษัทผู้เสียหายเข้ามาให้ข้อมูลหรือยัง เช่น นายปัญญา นิรันดร์กุล พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ชุดสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ส่วนของนายปัญญา น่าจะเข้ามาให้การแล้ว แต่ตนไม่แน่ใจ แต่เขาเป็นผู้สนับสนุนซึ่งไม่น่าจะรู้เรื่องการกระทำผิด อาจให้เงินไปแต่คงไม่ทราบขั้นตอนรายละเอียดต่างๆหลังจากนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วย ส่วนผู้ที่ถูกขบวนการของผู้ต้องหาหลอกลวงก็สามารถเข้ามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ถามต่อถึงจำนวนเงินที่ผู้ต้องหาหลอกมาจากบริษัทเอกชนต่างๆว่าประมาณ 300,000 บาทหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่
เมื่อถามว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมีความแตกแยกในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริงหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า "ผมอยู่มาผมเชื่อว่าไม่มีความแตกแยก แต่ใครแตกแยกกับใครหรือกลุ่มใดแตกแยกกับกลุ่มใด ใครทราบก็ช่วยแจ้งผมด้วยแล้วกัน"
ผู้สื่อข่าวได้ขึ้นไปตรวจสอบยังห้องทำงานบริเวณชั้น 4 อาคาร 1 ตร. แต่ก็ไม่พบเห็น พล.ต.อ.ประวุฒิ เดินทางเข้ามาปฏิบัติราชการแต่อย่างใด อีกทั้งเจ้าหน้าที่ประจำห้องทำงานของ พล.ต.อ.ประวุฒิ ก็ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใดๆ กับผู้สื่อข่าว