ASTVผู้จัดการรายวัน – “ไพรซ์ซ่า” รุกหนักเว๊บไซต์เปรียบเทียบราคา เล็งดึงพันธมิตรต่งชาติถือหุ้นเพิ่ม รับเม็ดเงินลงทุน เสริมแกร่ง รับมือผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้น วางเป้าคุมทั้งภูมิภาค ปีหน้าเน้นสร้างแบรนด์ เปิดแอพพลิเคชั่นใหม่ ตอบโจทย์ตลาดชอปปิ้งออนไลน์บูม
นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ผู้ให้บริการเว๊บไซต์ Priceza .com ของไทย ที่เป็นเว๊บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้า เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นกับเยอรมัน ที่จะเข้ามาร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ เพื่อระดมเงินมาลงทุนกิจการต่อเนื่อง คาดว่าไม่ต่ำกว่า 60-70 ล้านบาทหรือประมาณ 2 ล้านเหรีรยญสหรัฐ คาดว่าจะสรุปต้นปีหน้า ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จจะทำให้บริษัทก้าวขึ้นสู่ระดับซีรี่ส์เอ โดยบริษทฯตั้งสัดส่วนต่างชาติถือหุ้นบริษัทฯประมาณ 25% ปัจจุบันมีกองทุนจากญี่ปุ่นคือ ไซเบอร์ เอเย่นต์ เวนเจอร์ ถือหุ้นแล้ว 10%
การระดมทุนเพิ่มนั้น ส่วนหนึ่งมาจากต้องการใช้เงินในการลงทุนขยายกิจการโดยเฉพาะเรื่องการตลาด และการสร้างแบรนด์ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับกับการขยายธุรกิจที่คาดว่าแนวโนม้จากนี้ไปจะมีผู้ประกอบการที่เข้าสู่ตลาดเว๊บไซต์เปรียบเทียบราคามากขึ้น จากปัจจุบันที่มีไม่กี่ราย โดยบริษัทฯเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง กว่า 85% ที่เหลืออีก 15% เป็นผู้ประกอบการอีก 2-3 รายในตลาดที่มีทั้งของไทยและต่างชาติ ซึ่งตลาดชอปปิงออนไลน์ในไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างมาก คาดว่าในอีก 5 ปีจากนี้ ผู้บริโภคจะใช้จ่ายทางชอปปิ้งออนไลน์ประมาณ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% หรือเติบโต 10 เท่า
โดยเป้าหมายระยะยาวของบริษัทฯต้องการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมภูมิภาคนี้ให้มากที่สุด จากปัจจุบันเปิดแล้ว ใน 6 ประเทศ เพื่อต้องการก้าวเป็นที่หนึ่งในทุกตลาด เช่น ไทย เป็นผู้นำตลาดแล้ว อินโดนีเซีย มีผู้ใช้บริการแล้ว 2.3 ล้านคน มาลเซีย ฟิลิปินส์ เฉลี่ยผู้ใช้บริการ 1 แสนรายต่อเดือน ซึ่งติดท็อปทรีแล้ว เป้าหมายเป็นอันดับ1ในปีหน้า ส่วนอีก 2 ประเทศคือ สิงคโปร์กับเวียดนาม เพิ่งเริ่มทำตลาด เฉลี่ยผู้ใช้บริการ 50,000 รายต่อเดือน
อย่างไรก็ตามในช่วงปีหน้าจะเน้นการสร้างความเข้มแข็งของแบรนด์ในแต่ละตลาด ยังไม่มีการขยายประเทศใหม่ๆรวมถึงการสร้างแบรนด์และตอกย้ำแบรนด์ให้มากขึ้ ต่อเนื่องจากสิ้นปีนี้ รวมถึงการประชาสัมพธันธ์ต่อเนื่องในช่องทางออนไลน์เพราะเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มเติมจากช่องทางเฟซบุ๊กเพจของไพรซ์ซ่าประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตาม 260,000 คน ฐานสมาชิกกว่า 500,000 ราย
ล่าสุดเปิดตัวโมบายแอพพลิเคชั่นใหม่ ไพรซ์ซ่า เวอร์ชั่น 4 ที่ให้ผู้บบริโภคสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่น 4 ที่ออกมาใหม่นี้ ซึ่ที่ผ่านมา 3 เวอร์ชั่น มีผู้ดาวน์โหลดแอพแล้วกว่า 150,000 ดาวน์โหลดและคาดว่าจะถึง 1 ล้านดาวน์โหลดในสิ้นปีนี้ นอกจากนั้น อัตราการเข้าบริการของลูกค้าจะผ่านทางสมาร์ทโฟนกว่า 50% และรองลงมาคือ แท็บเล็ต 35% และหน้าจอคอมพิวเตอร์ 15%
“บริษัทตั้งเป้าหมายรวมมูลค่าการซื้อขายผ่านบริษัทฯภายในช่วง 5 ปีจากนี้ ในทุกประเทศจะเพิ่ม 10 เท่า หรือเป็น 5,000 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันมี 500 ล้านบาทต่อปี
ส่วนรายได้มีประมาณ 30 ล้านบาทต่อปีจากการลงโฆษณาและเปอร์เซนต์บางส่วนจากการขายสินค้าได้ เติบโตจากปีที่แล้ว 100% แบ่งสัดส่วนรายได้จากไทย 70% และจากต่างประเทศ 30% โดยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา รายได้ในไทยเติบโต 62% และวางเป้าหมายปีหน้า สัดส่วนรายได้จากไทยและต่างประเทศจะเท่ากัน” นายธนาวัฒน์กล่าว
นายธนาวัฒน์ ปัจจุบัน มีร้านค้าที่บริษัทฯทำการเปรียบเทียบราคาข้อมูลประมาณ 1,000 ร้านค้า และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 2,000 ร้านค้าใน 6 ประเทศ ส่วนไทยจะเพิ่มเป็น 1,500 ร้านค้า ส่วนสินค้ามีประมาณ 25 ล้านรายการ ใน 6 ประเทศ โดยสัดส่วนผู้ใช้บริการเป็น ผู้ชาย 48% และผู้หญิง 52% อายุระหว่าง 18-34 ปี สินที่ค้นหาและเปรียบเทียบราคามากที่สุดคือ สินค้าไอทีและอิเลคทรอนิกส์ แฟชั่น และความงาม โดยมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลที่ 5,000 บาทต่อคนต่อครั้ง ในกลุ่มไอที และประมาณ 500-1,000 บาทในกลุ่มแฟชั่นและความงาม มีผู้เข้ามาใช้บริการประมาณ 7 ล้านคนต่อเดือนใน 6 ประเทศ แบ่งเป็น ไทย 4.5 ล้านคน อินโดนีเซีย 2 ล้านคน ที่เหลือกระจายไปอีก 4 ประเทศหรือหากเทียบเป็นต่อวันจะมีประมาณ 233,333 คนต่อวัน รวม 6 ประเทศ
นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ผู้ให้บริการเว๊บไซต์ Priceza .com ของไทย ที่เป็นเว๊บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้า เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นกับเยอรมัน ที่จะเข้ามาร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ เพื่อระดมเงินมาลงทุนกิจการต่อเนื่อง คาดว่าไม่ต่ำกว่า 60-70 ล้านบาทหรือประมาณ 2 ล้านเหรีรยญสหรัฐ คาดว่าจะสรุปต้นปีหน้า ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จจะทำให้บริษัทก้าวขึ้นสู่ระดับซีรี่ส์เอ โดยบริษทฯตั้งสัดส่วนต่างชาติถือหุ้นบริษัทฯประมาณ 25% ปัจจุบันมีกองทุนจากญี่ปุ่นคือ ไซเบอร์ เอเย่นต์ เวนเจอร์ ถือหุ้นแล้ว 10%
การระดมทุนเพิ่มนั้น ส่วนหนึ่งมาจากต้องการใช้เงินในการลงทุนขยายกิจการโดยเฉพาะเรื่องการตลาด และการสร้างแบรนด์ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับกับการขยายธุรกิจที่คาดว่าแนวโนม้จากนี้ไปจะมีผู้ประกอบการที่เข้าสู่ตลาดเว๊บไซต์เปรียบเทียบราคามากขึ้น จากปัจจุบันที่มีไม่กี่ราย โดยบริษัทฯเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง กว่า 85% ที่เหลืออีก 15% เป็นผู้ประกอบการอีก 2-3 รายในตลาดที่มีทั้งของไทยและต่างชาติ ซึ่งตลาดชอปปิงออนไลน์ในไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างมาก คาดว่าในอีก 5 ปีจากนี้ ผู้บริโภคจะใช้จ่ายทางชอปปิ้งออนไลน์ประมาณ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% หรือเติบโต 10 เท่า
โดยเป้าหมายระยะยาวของบริษัทฯต้องการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมภูมิภาคนี้ให้มากที่สุด จากปัจจุบันเปิดแล้ว ใน 6 ประเทศ เพื่อต้องการก้าวเป็นที่หนึ่งในทุกตลาด เช่น ไทย เป็นผู้นำตลาดแล้ว อินโดนีเซีย มีผู้ใช้บริการแล้ว 2.3 ล้านคน มาลเซีย ฟิลิปินส์ เฉลี่ยผู้ใช้บริการ 1 แสนรายต่อเดือน ซึ่งติดท็อปทรีแล้ว เป้าหมายเป็นอันดับ1ในปีหน้า ส่วนอีก 2 ประเทศคือ สิงคโปร์กับเวียดนาม เพิ่งเริ่มทำตลาด เฉลี่ยผู้ใช้บริการ 50,000 รายต่อเดือน
อย่างไรก็ตามในช่วงปีหน้าจะเน้นการสร้างความเข้มแข็งของแบรนด์ในแต่ละตลาด ยังไม่มีการขยายประเทศใหม่ๆรวมถึงการสร้างแบรนด์และตอกย้ำแบรนด์ให้มากขึ้ ต่อเนื่องจากสิ้นปีนี้ รวมถึงการประชาสัมพธันธ์ต่อเนื่องในช่องทางออนไลน์เพราะเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มเติมจากช่องทางเฟซบุ๊กเพจของไพรซ์ซ่าประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตาม 260,000 คน ฐานสมาชิกกว่า 500,000 ราย
ล่าสุดเปิดตัวโมบายแอพพลิเคชั่นใหม่ ไพรซ์ซ่า เวอร์ชั่น 4 ที่ให้ผู้บบริโภคสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่น 4 ที่ออกมาใหม่นี้ ซึ่ที่ผ่านมา 3 เวอร์ชั่น มีผู้ดาวน์โหลดแอพแล้วกว่า 150,000 ดาวน์โหลดและคาดว่าจะถึง 1 ล้านดาวน์โหลดในสิ้นปีนี้ นอกจากนั้น อัตราการเข้าบริการของลูกค้าจะผ่านทางสมาร์ทโฟนกว่า 50% และรองลงมาคือ แท็บเล็ต 35% และหน้าจอคอมพิวเตอร์ 15%
“บริษัทตั้งเป้าหมายรวมมูลค่าการซื้อขายผ่านบริษัทฯภายในช่วง 5 ปีจากนี้ ในทุกประเทศจะเพิ่ม 10 เท่า หรือเป็น 5,000 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันมี 500 ล้านบาทต่อปี
ส่วนรายได้มีประมาณ 30 ล้านบาทต่อปีจากการลงโฆษณาและเปอร์เซนต์บางส่วนจากการขายสินค้าได้ เติบโตจากปีที่แล้ว 100% แบ่งสัดส่วนรายได้จากไทย 70% และจากต่างประเทศ 30% โดยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา รายได้ในไทยเติบโต 62% และวางเป้าหมายปีหน้า สัดส่วนรายได้จากไทยและต่างประเทศจะเท่ากัน” นายธนาวัฒน์กล่าว
นายธนาวัฒน์ ปัจจุบัน มีร้านค้าที่บริษัทฯทำการเปรียบเทียบราคาข้อมูลประมาณ 1,000 ร้านค้า และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 2,000 ร้านค้าใน 6 ประเทศ ส่วนไทยจะเพิ่มเป็น 1,500 ร้านค้า ส่วนสินค้ามีประมาณ 25 ล้านรายการ ใน 6 ประเทศ โดยสัดส่วนผู้ใช้บริการเป็น ผู้ชาย 48% และผู้หญิง 52% อายุระหว่าง 18-34 ปี สินที่ค้นหาและเปรียบเทียบราคามากที่สุดคือ สินค้าไอทีและอิเลคทรอนิกส์ แฟชั่น และความงาม โดยมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลที่ 5,000 บาทต่อคนต่อครั้ง ในกลุ่มไอที และประมาณ 500-1,000 บาทในกลุ่มแฟชั่นและความงาม มีผู้เข้ามาใช้บริการประมาณ 7 ล้านคนต่อเดือนใน 6 ประเทศ แบ่งเป็น ไทย 4.5 ล้านคน อินโดนีเซีย 2 ล้านคน ที่เหลือกระจายไปอีก 4 ประเทศหรือหากเทียบเป็นต่อวันจะมีประมาณ 233,333 คนต่อวัน รวม 6 ประเทศ