ASTVผู้จัดการรายวัน - "ศรีวราห์" พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 สน. หอบสำนวนกว่า 40 แฟ้มยื่นอัยการศาลทหารสั่งฟ้อง "อาเดม-ยูซุฟู" มือบึ้ม คดีลอบวางระเบิดบริเวณราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ระบุข้อหาฉกรรจ์รวม 7 ข้อหา แต่ในสำนวนไม่ได้ระบุสาเหตุการก่อเหตุจากอะไร ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์
วานนี้ (27 ต.ค.) ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนจาก 4 สน. ได้แก่ สน.ลุมพินี สน.ยานนาวา สน.หนองจอก และสน.มีนบุรี ได้นำเอกสารสำนวนกว่า 40 แฟ้ม ในคดีระเบิดบริเวณลานบรวงสรวงท้าวมหาพรหม ใกล้สี่แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 17 ส.ค. 58 และระเบิดที่ท่าเรือสาทร เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 58 มายื่นต่อ พล.ต.วิทยา พ่วงพันธุ์งาม หัวหน้าอัยการทหาร
โดยคดีดังกล่าวมีนายบิลลาน มูฮัมเหม็ด หรือ อาเดม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารฯในคดีพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตราย แก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น รวมถึงมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้อยู่ไว้ในครอบครองได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างฝากขังผัดที่ 5 ที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหาราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พันร.มทบ.11)
พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า สำนวนคดีดังกล่าวแบ่งเป็น 4 สำนวนแยกตามท้องที่สถานีตำรวจที่รับผิดชอบ คือ สน.ลุมพินี สน.ยานนาวา สน.หนองจอก และ สน.มีนบุรี มีเอกสารทั้งหมดประมาณ 8,000 กว่าหน้า ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนมั่นใจว่าจะสามารถสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องได้แน่นอน เนื่องจากพยานหลักฐานมีความรัดกุมแน่นหนาเพียงพอ อีกทั้งก่อนหน้านี้มีการปรึกษาหารือกับพนักงานอัยการศาลทหารมาโดยตลอด โดยในสำนวนดังกล่าวตำรวจได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ซึ่งฟ้องทั้งหมด 7 ข้อหาตามที่ปรากฏเป็นข่าวไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแต่อย่างใด
"หลังจากนี้หากการสืบสวนขยายผลพบว่ามีผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมก็จะสั่งฟ้องไปในสำนวนโดยเพิ่มผู้ต้องหาเข้าไปในสำนวนโดยไม่ต้องแยกสำนวนใหม่ ซึ่งตำรวจใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมสำนวนคดี ถือว่าเร็วมาก"
ด้านพล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 กล่าวถึงกรณีการสรุปสำนวนคดีระเบิด ว่า คณะพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนดำเนินคดีของ นายไมไรลี ยูซูฟู และนายอาเดม คาราดัก หรือ บิลลาล มูฮัมเหม็ด ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคณะพนักงานสอบสวนจะนำสำนวนหลายร้อยหน้า เพื่อส่งมอบให้พนักงานอัยการศาลทหารกรมพระธรรมนูญในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามความผิด 7 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2. ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 3. ข้อหาร่วมกันทำระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย 4. ข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 5. ข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบ ครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 6. ข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธระเบิดไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และ 7. ข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ผู้สื่อข่าวถามว่าในสำนวนระบุสาเหตุการก่อเหตุไว้ว่าอะไร พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ก็เขียนสาเหตุการก่อเหตุเอาไว้กว้างๆ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวนคดี พร้อมยืนยันนไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์
วานนี้ (27 ต.ค.) ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนจาก 4 สน. ได้แก่ สน.ลุมพินี สน.ยานนาวา สน.หนองจอก และสน.มีนบุรี ได้นำเอกสารสำนวนกว่า 40 แฟ้ม ในคดีระเบิดบริเวณลานบรวงสรวงท้าวมหาพรหม ใกล้สี่แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 17 ส.ค. 58 และระเบิดที่ท่าเรือสาทร เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 58 มายื่นต่อ พล.ต.วิทยา พ่วงพันธุ์งาม หัวหน้าอัยการทหาร
โดยคดีดังกล่าวมีนายบิลลาน มูฮัมเหม็ด หรือ อาเดม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารฯในคดีพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตราย แก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น รวมถึงมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้อยู่ไว้ในครอบครองได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างฝากขังผัดที่ 5 ที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหาราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พันร.มทบ.11)
พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า สำนวนคดีดังกล่าวแบ่งเป็น 4 สำนวนแยกตามท้องที่สถานีตำรวจที่รับผิดชอบ คือ สน.ลุมพินี สน.ยานนาวา สน.หนองจอก และ สน.มีนบุรี มีเอกสารทั้งหมดประมาณ 8,000 กว่าหน้า ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนมั่นใจว่าจะสามารถสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องได้แน่นอน เนื่องจากพยานหลักฐานมีความรัดกุมแน่นหนาเพียงพอ อีกทั้งก่อนหน้านี้มีการปรึกษาหารือกับพนักงานอัยการศาลทหารมาโดยตลอด โดยในสำนวนดังกล่าวตำรวจได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ซึ่งฟ้องทั้งหมด 7 ข้อหาตามที่ปรากฏเป็นข่าวไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแต่อย่างใด
"หลังจากนี้หากการสืบสวนขยายผลพบว่ามีผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมก็จะสั่งฟ้องไปในสำนวนโดยเพิ่มผู้ต้องหาเข้าไปในสำนวนโดยไม่ต้องแยกสำนวนใหม่ ซึ่งตำรวจใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมสำนวนคดี ถือว่าเร็วมาก"
ด้านพล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 กล่าวถึงกรณีการสรุปสำนวนคดีระเบิด ว่า คณะพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนดำเนินคดีของ นายไมไรลี ยูซูฟู และนายอาเดม คาราดัก หรือ บิลลาล มูฮัมเหม็ด ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคณะพนักงานสอบสวนจะนำสำนวนหลายร้อยหน้า เพื่อส่งมอบให้พนักงานอัยการศาลทหารกรมพระธรรมนูญในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามความผิด 7 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2. ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 3. ข้อหาร่วมกันทำระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย 4. ข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 5. ข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบ ครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 6. ข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธระเบิดไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และ 7. ข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ผู้สื่อข่าวถามว่าในสำนวนระบุสาเหตุการก่อเหตุไว้ว่าอะไร พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ก็เขียนสาเหตุการก่อเหตุเอาไว้กว้างๆ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวนคดี พร้อมยืนยันนไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์
