ผช.ผบ.ตร. สรุปสำนวนคดีวางระเบิดแยกราชประสงค์ กว่า 8,000 หน้า ส่งมอบอัยการศาลทหาร ยืนยันหลักฐานแน่นหนา สั่งฟ้องผู้ต้องหาและผู้ร่วมขบวนการ 7 ข้อหาตามเดิม หากสอบขยายผลพบคนร้ายเพิ่มเติมไม่ต้องแยกสำนวนใหม่ แย้มไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องค้ามนุษย์อุยกูร์
วันนี้ (27 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในคดีระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมส่งให้พนักงานอัยการศาลทหารกรมพระธรรมนูญ เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องคดีต่อศาลทหารต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 กล่าวถึงกรณีการสรุปสำนวนคดีระเบิด ว่า คณะพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนดำเนินคดีของ นายไมไรลี ยูซูฟู และนายอาเดม คาราดัก หรือ บิลลาล มูฮัมเหม็ด ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคณะพนักงานสอบสวนจะนำสำนวนหลายร้อยหน้า เพื่อส่งมอบให้พนักงานอัยการศาลทหารกรมพระธรรมนูญในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามความผิด 7 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2. ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 3. ข้อหาร่วมกันทำระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย 4. ข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 5. ข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 6. ข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธระเบิดไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และ 7. ข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ จะต้องรอ พล.ต.ท.ศรีวราห์ มาเป็นผู้ชี้แจง
ต่อมา เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) เปิดเผยก่อนเดินทางพร้อมทีมสืบสวนคดีระเบิดฯเพื่อนำแฟ้มเอกสารสำนวนคดีไปส่งให้พนักงานอัยการ ว่า สำนวนคดีดังกล่าวแบ่งเป็น 4 สำนวนแยกตามท้องที่สถานีตำรวจที่รับผิดชอบ คือ สน.ลุมพินี สน.ยานนาวา สน.หนองจอก และ สน.มีนบุรี มีเอกสารทั้งหมดประมาณ 8,000 กว่าหน้า ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนมั่นใจว่าจะสามารถสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องได้แน่นอน เนื่องจากพยานหลักฐานมีความรัดกุมแน่นหนาเพียงพอ อีกทั้งก่อนหน้านี้ มีการปรึกษาหารือกับพนักงานอัยการศาลทหารมาโดยตลอด โดยในสำนวนดังกล่าวตำรวจได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ซึ่งฟ้องทั้งหมด 7 ข้อหาตามที่ปรากฏเป็นข่าวไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ หากการสืบสวนขยายผล พบว่า มีผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมก็จะสั่งฟ้องไปในสำนวนโดยเพิ่มผู้ต้องหาเข้าไปในสำนวนโดยไม่ต้องแยกสำนวนใหม่ ซึ่งตำรวจใช้เวลาไม่นานในการรวบรวมสำนวนคดี ถือว่าเร็วมาก
ผู้สื่อข่าวถามว่าในสำนวนระบุสาเหตุการก่อเหตุไว้ว่าอะไร พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ก็เขียนสาเหตุการก่อเหตุเอาไว้กว้าง ๆ แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ในสำนวนคดี
เมื่อถามว่า เกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์หรือไม่ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่มี