ASTVผู้จัดการรายวัน - “อาร์เอส” รุกหนักธุรกิจทีวี ปี 59 ทุ่มเต็มสูบ 2,000 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่เปิดบริษัทฯ มั่นใจปี 59 อุตสาหกรรมโฆษณาทีวีดิจิตอลฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ระบุการแข่งขันรุนแรงจะเหลือไม่กี่ช่อง พร้อมปรับค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50% ตั้งแต่เดือน ม.ค.59 หวังรายได้ 3,800 ล้านบาท
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมสื่อโฆษณาโทรทัศน์ในปี 2558 ว่า ค่อนข้างจะหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ปรับลดงบประมาณโฆษณาลง ทั้งในส่วนของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ สถาบันการเงิน และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2559 สถานการณ์ต่างๆ โดยรวมจะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงมีการจัดงบประมาณการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งมีผลช่วยกระตุ้นให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น ทำให้ธุรกิจต่างๆ กล้าตัดสินใจใช้งบประมาณโฆษณาสูงขึ้น
ขณะเดียวกันในส่วนของสื่อโทรทัศน์ดิจิตอลก็จะมีความชัดเจนขึ้นทั้งในแง่ของเรตติ้ง จำนวนผู้ชม ราคาโฆษณา ตลอดจนการจัดเรียงหมายเลขช่องใหม่ตามประกาศของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ในส่วนของ “อาร์เอส” จึงมีแผนใช้เงินลงทุนในปี 2559 เป็นจำนวนถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานมา โดยจะใช้ในส่วนของการผลิตละครใหม่ไม่ต่ำกว่า 30 เรื่อง เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท, ผลิตรายการวาไรตี้ กีฬา และข่าว 800 ล้านบาท และพัฒนาระบบไอที รวมถึงใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์และสร้างความจดจำให้ผู้ชม 200 ล้านบาท โดยให้น้ำหนักการลงทุนที่ “ช่อง 8” มากที่สุด 70% ส่วนที่เหลือกระจายไปยัง “สบายทีวี”, “ช่อง 2”, “เพลินทีวี” และ “ยูแชนนอล”
“เหตุผลที่บริษัทฯ ตัดสินใจลงทุนใหญ่ครั้งนี้ในดานของธุรกิจทีวี เพราะมั่นใจว่าจากการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจดิจิตอลทีวีในปีนี้จะส่งผลให้ในปี 2559 มีจำนวนผู้ประกอบธุรกิจน้อยลงจากปัจจุบันที่มี 17 ราย จำนวน 24 สถานี ขณะเดียวกันสถานีที่มีเรตติ้งชี้วัดจำนวนผู้ชมสูงและชัดเจนก็จะมีความได้เปรียบในแง่ของการโฆษณาที่เจ้าของสินค้าและเอเจนซี่จะตัดสินใจซื้อโฆษณามากขึ้น ส่งผลให้ราคาโฆษณาของแต่ละสถานีมีการปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย” นางพรพรรณ กล่าว
ทั้งนี้จากการลงทุนครั้งนี้ “อาร์เอส” จึงคาดหวังว่าในปี 2559 จะสามารถทำรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น 50% จากทุกช่วงเวลาตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.59 เป็นต้นไป พร้อมทำรายได้รวมประมาณ 3,800 ล้านบาท โดยจะมีการปรับราคาค่าโฆษณาสูงขึ้นจากปรกติอยู่ในระดับ 50,000 บาทถึง 200,000 บาท เพิ่มเป็น 50,000 บาทถึง 3.2 แสนบาท เนื่องจากสถานี “ช่อง 8” มีจำนวนเรตติ้งที่สูงขึ้นถึง 100% จากจำนวน 180,000 คนต่อนาทีในช่วงต้นปี 2558 จนปัจจุบันมีเป็นจำนวน 350,000 คนต่อนาที โดยคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2558 จะเพิ่มเป็น 400,000 คนต่อนาที
“ตามปรกติแล้วอุตสาหกรรมโฆษณาโทรทัศน์จะมีมูลค่ามากกว่าอัตราจีดีพีของประเทศประมาณ 2 เท่า ดังนั้นเมื่อเรตติ้งของสถานีสูงขึ้น 100% สถานีก็จะต้องปรับค่าโฆษณาเป็น 100% ควบคู่กันไป แต่บริษัทฯ จะเน้นสิทธิพิเศษทั้งด้านราคาและการเลือกพื้นที่เป้าหมายแก่ลูกค้าที่พร้อมจะเซ็นสัญญาระยะยาวภายในปี 2558 โดยจะกำหนดการใช้พื้นที่ส่วนนี้ 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% จะเสนอขายตามเรตติ้ง ณ เวลานั้นๆ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้าระยะยาวประมาณ 20% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 50% ในปี 2559”
นางพรพรรณ กล่าว
ปัจจุบันสื่อโทรทัศน์ในเครือ “อาร์เอส” มีสัดส่วนรายได้รวมมากที่สุดประมาณ 70% จาก “ช่อง 8” ในสัดส่วน 60% ช่อง“สบายทีวี” 20% “ช่อง 2” 15% และ ช่อง“เพลินทีวี” 5% ส่วน “ยูแชนนอล” จะเน้นโปรโมทผลงานเพลงในเครือ “อาร์เอส” เป็นหลัก โดยไม่หวังผลรายได้แต่อย่างใด
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมสื่อโฆษณาโทรทัศน์ในปี 2558 ว่า ค่อนข้างจะหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ปรับลดงบประมาณโฆษณาลง ทั้งในส่วนของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ สถาบันการเงิน และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2559 สถานการณ์ต่างๆ โดยรวมจะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงมีการจัดงบประมาณการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งมีผลช่วยกระตุ้นให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น ทำให้ธุรกิจต่างๆ กล้าตัดสินใจใช้งบประมาณโฆษณาสูงขึ้น
ขณะเดียวกันในส่วนของสื่อโทรทัศน์ดิจิตอลก็จะมีความชัดเจนขึ้นทั้งในแง่ของเรตติ้ง จำนวนผู้ชม ราคาโฆษณา ตลอดจนการจัดเรียงหมายเลขช่องใหม่ตามประกาศของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ในส่วนของ “อาร์เอส” จึงมีแผนใช้เงินลงทุนในปี 2559 เป็นจำนวนถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานมา โดยจะใช้ในส่วนของการผลิตละครใหม่ไม่ต่ำกว่า 30 เรื่อง เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท, ผลิตรายการวาไรตี้ กีฬา และข่าว 800 ล้านบาท และพัฒนาระบบไอที รวมถึงใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์และสร้างความจดจำให้ผู้ชม 200 ล้านบาท โดยให้น้ำหนักการลงทุนที่ “ช่อง 8” มากที่สุด 70% ส่วนที่เหลือกระจายไปยัง “สบายทีวี”, “ช่อง 2”, “เพลินทีวี” และ “ยูแชนนอล”
“เหตุผลที่บริษัทฯ ตัดสินใจลงทุนใหญ่ครั้งนี้ในดานของธุรกิจทีวี เพราะมั่นใจว่าจากการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจดิจิตอลทีวีในปีนี้จะส่งผลให้ในปี 2559 มีจำนวนผู้ประกอบธุรกิจน้อยลงจากปัจจุบันที่มี 17 ราย จำนวน 24 สถานี ขณะเดียวกันสถานีที่มีเรตติ้งชี้วัดจำนวนผู้ชมสูงและชัดเจนก็จะมีความได้เปรียบในแง่ของการโฆษณาที่เจ้าของสินค้าและเอเจนซี่จะตัดสินใจซื้อโฆษณามากขึ้น ส่งผลให้ราคาโฆษณาของแต่ละสถานีมีการปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย” นางพรพรรณ กล่าว
ทั้งนี้จากการลงทุนครั้งนี้ “อาร์เอส” จึงคาดหวังว่าในปี 2559 จะสามารถทำรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น 50% จากทุกช่วงเวลาตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.59 เป็นต้นไป พร้อมทำรายได้รวมประมาณ 3,800 ล้านบาท โดยจะมีการปรับราคาค่าโฆษณาสูงขึ้นจากปรกติอยู่ในระดับ 50,000 บาทถึง 200,000 บาท เพิ่มเป็น 50,000 บาทถึง 3.2 แสนบาท เนื่องจากสถานี “ช่อง 8” มีจำนวนเรตติ้งที่สูงขึ้นถึง 100% จากจำนวน 180,000 คนต่อนาทีในช่วงต้นปี 2558 จนปัจจุบันมีเป็นจำนวน 350,000 คนต่อนาที โดยคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2558 จะเพิ่มเป็น 400,000 คนต่อนาที
“ตามปรกติแล้วอุตสาหกรรมโฆษณาโทรทัศน์จะมีมูลค่ามากกว่าอัตราจีดีพีของประเทศประมาณ 2 เท่า ดังนั้นเมื่อเรตติ้งของสถานีสูงขึ้น 100% สถานีก็จะต้องปรับค่าโฆษณาเป็น 100% ควบคู่กันไป แต่บริษัทฯ จะเน้นสิทธิพิเศษทั้งด้านราคาและการเลือกพื้นที่เป้าหมายแก่ลูกค้าที่พร้อมจะเซ็นสัญญาระยะยาวภายในปี 2558 โดยจะกำหนดการใช้พื้นที่ส่วนนี้ 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% จะเสนอขายตามเรตติ้ง ณ เวลานั้นๆ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้าระยะยาวประมาณ 20% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 50% ในปี 2559”
นางพรพรรณ กล่าว
ปัจจุบันสื่อโทรทัศน์ในเครือ “อาร์เอส” มีสัดส่วนรายได้รวมมากที่สุดประมาณ 70% จาก “ช่อง 8” ในสัดส่วน 60% ช่อง“สบายทีวี” 20% “ช่อง 2” 15% และ ช่อง“เพลินทีวี” 5% ส่วน “ยูแชนนอล” จะเน้นโปรโมทผลงานเพลงในเครือ “อาร์เอส” เป็นหลัก โดยไม่หวังผลรายได้แต่อย่างใด