ASTVผู้จัดการรายวัน - กรมสรรพากรเสนอให้กระทรวงคลังออกกฎหมายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทำบัญชีเดียว พร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจูงใจเข้าระบบ ลุ้นเสนอ ครม.ด่วนที่สุด ยันไม่เอาผิดย้อนหลัง หวังเป็นของขวัญปีใหม่ ด้านรัฐมนตรีคลัง เผยอีก 2 สัปดาห์ สรุปมาตรการภาษีจูงใจเอกชนเร่งลงทุนในปีนี้และปีหน้า พร้อมวอนเอกชนรายใหญ่ช่วยดึงเอสเอ็มอีให้เติบโตไปด้วยกัน
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้เสนอกระทรวงการคลังออกกฎหมายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีหลายบัญชีให้มาทำบัญชีเดียวตามนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากการทำบัญชีเดียวของผู้ประกอบการช่วยลดการทุจริต โดยเฉพาะการจ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือการจ่ายเงินค่าฮั้ว เนื่องจากไม่สามารถมาลงบัญชีได้
"ผู้ประกอบการที่กลัวแผลเก่าจ่ายเงินภาษีให้กรมสรรพากรไม่ครบ เช่น ยื่นเสียภาษีกับกรมสรรพากร 10 ล้านบาท แต่จริงๆ ต้องเสีย 100-200 ล้านบาท กรมสรรพากรจะดำเนินการเรื่องนี้ไม่ให้ผู้ประกอบการถูกเอาผิดย้อนหลัง หากเข้ามาทำบัญชีเดียวให้ถูกต้อง ซึ่งตอนนี้เสียภาษีในอัตราแค่ 10% เท่านั้น" นายประสงค์กล่าวและว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้ามาทำบัญชีเดียวจะมีช่วงเวลาเหมือนกับการรอลงอาญา หากช่วงรอลงอาญามีการเสียภาษีไม่ถูกต้องทางกรมสรรพากรก็จะเอาผิดย้อนหลัง แต่หากพ้นจากช่วงรอลงอาญาไปแล้ว กลับมาทำผิดเสียภาษีไม่ถูกต้องหรือว่ากลับไปทำหลายบัญชี ทางกรมสรรพากรก็จะไม่เอาผิดย้อนหลังในส่วนที่เสียไม่ถูกต้อง 100-200 ล้านบาท
"คาดว่าจะมีประกาศกฎหมายออกมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ส่วนกฎหมายจะประกาศออกมาเป็นอย่างไรทางรัฐบาลจะเป็นพิจารณา"
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังอยู่ระหว่างการสรุปรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดทำแผนการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากขึ้นให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ทำบัญชีเดียว เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมากขึ้น เช่น การจ้างนักศึกษาอาชีวะที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาทั่วประเทศ หรือการซื้อซอร์ฟแวร์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และการนำค่าจ้างทำบัญชีไปหักลดหย่อนภาษีนิติบุคคล ได้ 2 เท่า เป็นต้น โดยจะเร่งสรุปรายละเอียดทั้งหมดเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในวันที่ 27 ต.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เรื่องการทำบัญชีตามหลักมาตรฐานนั้นกรมสรรพากรจะมีโปรแกรมบัญชีให้เบื้องต้น 2 พันแผ่น จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สรรพากรรู้ถึงรายได้ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย กำไรและขาดทุนจากการประกอบกิจการ สามารถวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมให้กับธุรกิจได้ โดยที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจ SMEs ด้วยการลดอัตราภาษีลงเหลือ 10% ของกำไรสุทธิ
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาในงานการประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 9/2558 ในหัวข้อ “นโยบายของกระทรวงการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทย” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า แนวนโยบายที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการในระยะต่อไปคือ เร่งกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนให้เกิดขึ้นในปีนี้ และปีหน้า โดยจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จูงใจเพิ่มขึ้นกับเอกชนที่ลงทุนเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และรถยนต์ในการใช้งาน เป็นต้น การให้สิทธิประโยชน์จูงใจให้เอกชนเร่งลงทุนในครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งการลงทุนที่อยู่ในและนอกคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ โดยคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ และเสนอ ครม.
นายอภิศักดิ์ยังฝากให้ภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินเข้มแข็ง สะท้อนได้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่เป็นบริษัทในเครือ หรืออยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ให้สามารถปรับตัวและกลับมาแข่งขันได้ เนื่องจากถ้าปล่อยไปโดยไม่รีบเข้าไปช่วยกันไขปัญหาเอสเอ็มอี อาจทำให้เกิดปัญหาลุกลามถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และกลายเป็นปัญหาบานปาน กระทบถึงเศรษฐกิจและสังคม เพราะเอสเอ็มอีเป็นฐานการจ้างแรงงานขนาดใหญ่ของประเทศ.
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้เสนอกระทรวงการคลังออกกฎหมายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีหลายบัญชีให้มาทำบัญชีเดียวตามนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากการทำบัญชีเดียวของผู้ประกอบการช่วยลดการทุจริต โดยเฉพาะการจ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือการจ่ายเงินค่าฮั้ว เนื่องจากไม่สามารถมาลงบัญชีได้
"ผู้ประกอบการที่กลัวแผลเก่าจ่ายเงินภาษีให้กรมสรรพากรไม่ครบ เช่น ยื่นเสียภาษีกับกรมสรรพากร 10 ล้านบาท แต่จริงๆ ต้องเสีย 100-200 ล้านบาท กรมสรรพากรจะดำเนินการเรื่องนี้ไม่ให้ผู้ประกอบการถูกเอาผิดย้อนหลัง หากเข้ามาทำบัญชีเดียวให้ถูกต้อง ซึ่งตอนนี้เสียภาษีในอัตราแค่ 10% เท่านั้น" นายประสงค์กล่าวและว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้ามาทำบัญชีเดียวจะมีช่วงเวลาเหมือนกับการรอลงอาญา หากช่วงรอลงอาญามีการเสียภาษีไม่ถูกต้องทางกรมสรรพากรก็จะเอาผิดย้อนหลัง แต่หากพ้นจากช่วงรอลงอาญาไปแล้ว กลับมาทำผิดเสียภาษีไม่ถูกต้องหรือว่ากลับไปทำหลายบัญชี ทางกรมสรรพากรก็จะไม่เอาผิดย้อนหลังในส่วนที่เสียไม่ถูกต้อง 100-200 ล้านบาท
"คาดว่าจะมีประกาศกฎหมายออกมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ส่วนกฎหมายจะประกาศออกมาเป็นอย่างไรทางรัฐบาลจะเป็นพิจารณา"
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังอยู่ระหว่างการสรุปรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดทำแผนการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากขึ้นให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ทำบัญชีเดียว เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมากขึ้น เช่น การจ้างนักศึกษาอาชีวะที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาทั่วประเทศ หรือการซื้อซอร์ฟแวร์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และการนำค่าจ้างทำบัญชีไปหักลดหย่อนภาษีนิติบุคคล ได้ 2 เท่า เป็นต้น โดยจะเร่งสรุปรายละเอียดทั้งหมดเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในวันที่ 27 ต.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เรื่องการทำบัญชีตามหลักมาตรฐานนั้นกรมสรรพากรจะมีโปรแกรมบัญชีให้เบื้องต้น 2 พันแผ่น จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สรรพากรรู้ถึงรายได้ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย กำไรและขาดทุนจากการประกอบกิจการ สามารถวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมให้กับธุรกิจได้ โดยที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจ SMEs ด้วยการลดอัตราภาษีลงเหลือ 10% ของกำไรสุทธิ
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาในงานการประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 9/2558 ในหัวข้อ “นโยบายของกระทรวงการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทย” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า แนวนโยบายที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการในระยะต่อไปคือ เร่งกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนให้เกิดขึ้นในปีนี้ และปีหน้า โดยจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จูงใจเพิ่มขึ้นกับเอกชนที่ลงทุนเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และรถยนต์ในการใช้งาน เป็นต้น การให้สิทธิประโยชน์จูงใจให้เอกชนเร่งลงทุนในครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งการลงทุนที่อยู่ในและนอกคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ โดยคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ และเสนอ ครม.
นายอภิศักดิ์ยังฝากให้ภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินเข้มแข็ง สะท้อนได้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่เป็นบริษัทในเครือ หรืออยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ให้สามารถปรับตัวและกลับมาแข่งขันได้ เนื่องจากถ้าปล่อยไปโดยไม่รีบเข้าไปช่วยกันไขปัญหาเอสเอ็มอี อาจทำให้เกิดปัญหาลุกลามถึงธุรกิจขนาดใหญ่ และกลายเป็นปัญหาบานปาน กระทบถึงเศรษฐกิจและสังคม เพราะเอสเอ็มอีเป็นฐานการจ้างแรงงานขนาดใหญ่ของประเทศ.