นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังออกมาเปิดเผยถึงความไม่ชอบมาพากลในการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า หลังจากที่ตนแถลงข่าวเปิดเผยถึงความไม่โปร่งใสในการบริหารงานของรองผู้ว่าฯกทม.คนหนึ่งที่ให้บริษัทของคนสนิทมาประมูลงานสร้างสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติบริเวณใต้ทางด่วนช่วงตัดของถนนราชพฤกษ์กับถนนรัชดาฯ เขตธนบุรี มูลค่างานก่อสร้าง71ล้านบาท ซึ่งเนื้องานตามสัญญาก่อสร้าง นอกจากสร้างสวนสาธารณะแล้วต้องมีการสร้างอัฒจรรย์เชียร์กีฬาด้วย แต่บริษัทเอกชนที่ประมูลงานนี้ได้กลับไม่ก่อสร้างอัฒจรรย์ กลับจะมาขอเรียกเก็บเงินค่าสร้างเต็มจำนวนจากเขต ซ้ำผู้บริหารในกทม.มีการเรียกเจ้าหน้าที่เขตไปสั่งในลักษณะบังคับกลายๆว่า "ทำไม ไม่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ทำงานอย่างนี้ก็สร้างไม่เสร็จเสียที"
นายวิลาศ กล่าวต่อว่า ล่าสุดสัญญาก่อสร้างครบกำหนดเวลาไปหลายเดือนแล้ว แต่ยังตกลงค่าปรับงานล่าช้าจาก กทม.ที่จะปรับจากบริษัทเอกชนรายนี้ ตนจึงจำเป็นต้องมาเปิดเผยความไม่โปร่งใสในกรณีนี้ เพราะที่ผ่านมารองผู้ว่ากทม.คนนี้ก็สั่งการโดยวาจา และมีพฤติกรรมช่วยเหลือบริษัทนี้มาตลอด ที่สำคัญมีการก่อสร้างเพิ่ม หรือลดเนื้องานจากสัญญาหลักจนสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากมีความผิดปกติคือ สร้างก่อน แล้วค่อยมาทำสัญญาทีหลัง ซึ่งในสารบบของการประมูลงานราชการไม่มี ตนจึงมั่นใจในพยานหลักฐานที่ร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ตรวจสอบในเรื่องนี้.
นายวิลาศ กล่าวต่อว่า ล่าสุดสัญญาก่อสร้างครบกำหนดเวลาไปหลายเดือนแล้ว แต่ยังตกลงค่าปรับงานล่าช้าจาก กทม.ที่จะปรับจากบริษัทเอกชนรายนี้ ตนจึงจำเป็นต้องมาเปิดเผยความไม่โปร่งใสในกรณีนี้ เพราะที่ผ่านมารองผู้ว่ากทม.คนนี้ก็สั่งการโดยวาจา และมีพฤติกรรมช่วยเหลือบริษัทนี้มาตลอด ที่สำคัญมีการก่อสร้างเพิ่ม หรือลดเนื้องานจากสัญญาหลักจนสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากมีความผิดปกติคือ สร้างก่อน แล้วค่อยมาทำสัญญาทีหลัง ซึ่งในสารบบของการประมูลงานราชการไม่มี ตนจึงมั่นใจในพยานหลักฐานที่ร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ตรวจสอบในเรื่องนี้.
